สมรภูมิตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนกำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสงครามราคาที่เข้มข้น การโจมตีระหว่างคู่แข่ง และปัญหาใหม่อย่างปรากฏการณ์ “รถป้ายแดงมือ 2” ที่ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทรถยนต์รายใหญ่ต่างออกมาเปิดศึกน้ำลายผ่านสื่อสาธารณะอย่างดุเดือด

ความตึงเครียดเริ่มปะทุขึ้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Weibo เมื่อ เสียวหมี่ (Xiaomi) ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ซึ่งกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และถือเป็นการท้าทายต่อพันธมิตรของหัวเว่ย (Huawei) อย่างเต็มตัว หยู เฉิงตง กรรมการบริหารของ Huawei ได้แสดงความคิดเห็นในงานฟอรัมโดยไม่ได้เอ่ยชื่อ Xiaomi ตรง ๆ ว่า “บางบริษัทประสบความสำเร็จจากรถยนต์เพียงรุ่นเดียว” และย้ำว่าความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี แต่เป็นเพียงผลจากการทำตลาดที่ดี เล่ย จุน ผู้ร่วมก่อตั้ง Xiaomi ได้ตอบกลับในวันถัดมาว่า “การใส่ร้ายป้ายสีคือรูปแบบหนึ่งของการชื่นชม” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการสวนกลับ Huawei อย่างตรงไปตรงมา

นอกจากสงครามวาทกรรม ความดุเดือดในตลาดยังสะท้อนผ่านการห้ำหั่นด้านราคา โดยเฉพาะการลดราคาของ BYD ที่รุนแรงถึง 34% ในบางรุ่น และการเปิดโปงปรากฏการณ์ “รถป้ายแดงมือ 2” ซึ่งเว่ย เจี้ยนจวิน ประธานบริษัท Great Wall Motor กล่าวโจมตีอย่างชัดเจนว่ามีดีลเลอร์จำนวนมากใช้ช่องโหว่ทางการตลาดนำรถใหม่มาจดทะเบียนเป็นรถมือสองเพื่อรับสิทธิประโยชน์และกระตุ้นยอดขาย เขาชี้ว่าสิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดขายของผู้ผลิตบางรายพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ สื่อจีนยังรายงานด้วยว่า ตัวแทนจำหน่ายบางรายจดทะเบียนรถใหม่ก่อนเพียงเพื่อให้ได้ส่วนลดจากผู้ผลิต แล้วรีบเปลี่ยนสถานะให้เป็นรถใช้แล้วและขายในราคาต่ำลง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเป้าหมายที่ทะเยอทะยานของ BYD ที่ตั้งเป้ายอดขาย 5.5 ล้านคันในปี 2025 โดย 800,000 คันจะเป็นการส่งออกต่างประเทศ แม้ว่ายอดขายในต่างประเทศจะเติบโตถึง 137% ในเดือนพฤษภาคม แต่ยอดขายในประเทศกลับเพิ่มขึ้นเพียง 14.1% ซึ่งสะท้อนว่าความสามารถในการเติบโตของ BYD ภายในจีนเริ่มชะลอตัวลง ขณะเดียวกันแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ก็กำลังประสบปัญหาคล้ายกัน โดยเฉพาะเสียวหมี่ที่ยอดขายในเดือนเมษายนและพฤษภาคมก็ตกลงเช่นกัน

ความกดดันด้านราคาทำให้ผู้ผลิตหลายรายต้องปรับตัวตาม โดยกว่า 10 แบรนด์ต้องลดราคาหลังจาก BYD ประกาศลดราคาอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงจนหลายฝ่ายเริ่มกังวล สภาหอการค้าผู้จัดจำหน่ายรถยนต์แห่งจีนได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้บริษัทรถยนต์ตั้งเป้ายอดขายที่เหมาะสมและไม่เร่งส่งมอบรถยนต์จำนวนมากให้ดีลเลอร์ ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาสต็อกล้น ส่งผลให้บางแห่งต้องปิดตัวลง

สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนก็ออกมาเตือนเช่นกันว่า การลดราคาอย่างรุนแรงส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมในระยะยาว เพราะจะบีบอัตรากำไรให้แคบลง ลดคุณภาพผลิตภัณฑ์ และบริการหลังการขาย กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) จึงประกาศว่าจะจับตาและดำเนินมาตรการควบคุมพฤติกรรมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะสงครามราคาที่ไม่มีขอบเขตไม่อาจสร้างผู้ชนะ และอาจทำลายอนาคตของทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในจีนในที่สุด