ในอดีต ซีรีส์ Galaxy Note ของซัมซุงถือเป็นผู้บุกเบิกมาตรฐานใหม่ด้านความจุพื้นฐานของสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดย Note9 ได้สร้างความฮือฮาด้วยการมาพร้อมหน่วยความจำภายในขนาด 128GB เป็นรุ่นพื้นฐาน ซึ่งในยุคนั้นถือว่ามากเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาพถ่าย วิดีโอ แอปพลิเคชัน หรือไฟล์งานขนาดใหญ่ ต่อมาในรุ่น Note10 ซัมซุงก็ได้ขยับมาตรฐานขึ้นอีกขั้นด้วยการเพิ่มความจุพื้นฐานเป็น 256GB ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ที่เริ่มถ่ายภาพและวิดีโอความละเอียดสูงมากขึ้น รวมถึงการใช้งานด้านความบันเทิงและงานสร้างสรรค์ที่ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าเดิม การก้าวกระโดดนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานให้กับวงการสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ในช่วงเวลานั้น

ปัจจุบันโลกของสมาร์ทโฟนได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ความละเอียดของกล้องในรุ่นเรือธงทะลุ 200 ล้านพิกเซล การถ่ายวิดีโอ 8K หรือแม้แต่ ProRes กลายเป็นเรื่องปกติ แอปพลิเคชันและเกมมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การใช้งาน AI, AR และ VR บนมือถือก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากกว่าที่เคย การมีความจุพื้นฐานเพียง 256GB อาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้กลุ่มมืออาชีพหรือครีเอเตอร์ที่ต้องจัดเก็บไฟล์คุณภาพสูงปริมาณมาก อีกทั้งการพึ่งพาคลาวด์เพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัย และความสะดวกในการเข้าถึงไฟล์ขนาดใหญ่

ด้วยเหตุนี้ จึงถึงเวลาที่ซัมซุงควรยกระดับมาตรฐานอีกครั้งกับ Galaxy S26 Ultra โดยการเพิ่มความจุพื้นฐานเป็น 512GB เพื่อให้เพียงพอกับการใช้งานในยุคที่คอนเทนต์มีความละเอียดสูงและขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มตัวเลือกใหม่ความจุสูงสุด 2TB สำหรับผู้ใช้ระดับโปรที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นนักสร้างคอนเทนต์สายวิดีโอความละเอียดสูง ช่างภาพมืออาชีพ หรือผู้ที่ต้องการเก็บไฟล์งานและสื่อความบันเทิงไว้ในเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การยกระดับนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของสมาร์ทโฟนที่กำลังมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของการทำงานและความบันเทิงขั้นสูงอย่างแท้จริง และอาจทำให้ Galaxy S26 Ultra กลายเป็นผู้นำที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมอีกครั้งเหมือนที่ซีรีส์ Galaxy Note เคยทำได้ในอดีต