ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่าน

ตลาดน้ำมันโลกเมื่อวันอังคาร (11 ก.พ.) พบกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude) เพิ่มขึ้น 1.11 ดอลลาร์ หรือ 1.46% มาอยู่ที่ 76.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 99 เซ็นต์ หรือ 1.37% สู่ระดับ 73.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบทั้งสองตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากการลดลงติดต่อกันถึงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

จอห์น อีแวนส์ นักวิเคราะห์จาก PVM กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันว่า การที่สหรัฐฯ กดดันการส่งออกน้ำมันจากอิหร่านและการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดเอเชียยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การขนส่งน้ำมันของรัสเซียไปยังประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีผลต่อเรือบรรทุกน้ำมัน ผู้ผลิต และบริษัทประกันภัย

สหรัฐฯ ยังได้เพิ่มการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเครือข่ายที่ส่งน้ำมันจากอิหร่านไปจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "แรงกดดันสูงสุด" ที่กลับมาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้น้ำมันดิบจากอิหร่านมีราคาสูงขึ้น รวมถึงภาษีการค้า ซึ่งทวีความซับซ้อนในตลาดน้ำมัน

เมื่อเร็วๆ นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากสหรัฐฯ เป็น 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสงครามการค้าโลกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงความต้องการพลังงานที่อาจจะได้รับผลกระทบ

จากการสำรวจของมอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า การเพิ่มภาษีและมาตรการตอบโต้จากประเทศต่างๆ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกในภาคที่ใช้น้ำมันเข้มข้นเกิดความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลเสียต่อการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะรอจนถึงไตรมาสถัดไปก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอาจส่งผลต่อความต้องการน้ำมันดิบ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นและจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในส่วนของการสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันกลั่นน่าจะลดลง ซึ่งการสำรวจนี้จะได้รับการยืนยันจากการรายงานข้อมูลประจำสัปดาห์จากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ในวันนี้