กรุงเทพฯ 4 มีนาคม 2568  ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,203.72 จุด ลดลง 3.41% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่ดัชนี mai ก็ลดลง 5.38% มาอยู่ที่ 255.95 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 57,150.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.40% จากสัปดาห์ก่อน

ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มาจากความกังวลต่อความขัดแย้งทางการค้าโลก โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ ยืนยันจะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ในวันที่ 4 มีนาคมนี้ พร้อมทั้งการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและตลาดการลงทุน

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคือการปรับตัวของดัชนี MSCI Rebalance ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นในบางกลุ่มโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศผลประกอบการที่ไม่ดี รวมถึงแผนการสับเปลี่ยนธุรกิจที่สร้างความกังวลต่อนักลงทุน

นอกจากนี้ตลาดยังได้รับผลกระทบจากข่าวเกี่ยวกับการจำกัดการลงทุนของจีนในอุตสาหกรรมสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ รวมถึงแรงขายเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งทำให้ดัชนี SET ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม, แนวโน้มการฟื้นตัวในสัปดาห์ถัดไป (3-7 มี.ค. 2568) ก็ยังมีความเป็นไปได้ โดยบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยจะมีแนวรับที่ 1,185 จุด และ 1,175 จุด ขณะที่แนวต้านจะอยู่ที่ 1,215 และ 1,230 จุด ตามลำดับ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์, การแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนในสัปดาห์หน้า

การปรับลดดอกเบี้ย สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนในระยะสั้นจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งเกินความคาดหมายของตลาด ส่งผลให้เกิดแรงซื้อคืนในหุ้นต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ย

คาดการณ์ช่วงสั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยอาจจะดีดตัวขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์หลังการปรับลดดอกเบี้ย แต่ยังคงต้องจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นภูมิภาคและปัจจัยการเมืองโลกอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะช่วยให้เห็นทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป

ที่มา : kasikornresearch