หุ้นไทยปิดเช้าวันที่ 5 มี.ค. 68 ปรับตัวขึ้น 12.46 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.06% มาปิดที่ 1,190.10 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 19,869 ล้านบาท การเคลื่อนไหวในช่วงเช้าสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางบวกของตลาด ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากหลายแง่มุมทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการผ่อนคลายความกังวลในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนที่ยังคงเดินหน้าทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและในภูมิภาคเอเชียได้รับแรงหนุนขึ้น

การที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ออกมาแสดงท่าทีว่าจะหาทางประนีประนอมกับประเทศที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าความตึงเครียดในสงครามการค้าจะคลี่คลายลง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการลงทุน อีกทั้งจีนยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้งบประมาณขาดดุล 4% ของ GDP เพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 5% ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

ในช่วงเช้า ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยทำระดับสูงสุดที่ 1,195.52 จุด และต่ำสุดที่ 1,183.52 จุด การซื้อขายหุ้นใหญ่ในช่วงเช้าก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนีขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการสื่อสาร เช่น AOT (ท่าอากาศยานไทย), ADVANC (แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส), DELTA (เดลต้า อีเลคโทรนิคส์) ซึ่งมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หุ้น TOP (ไทยออยล์) และ CPALL (เซ็นทรัลพัฒนา) ก็ได้รับแรงซื้อกลับจากนักลงทุน

สำหรับแนวโน้มในช่วงบ่าย คาดว่าตลาดจะยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยนักลงทุนคาดหวังว่าจะสามารถทดสอบระดับแนวต้านที่ 1,200 จุด และยังคงให้ความสำคัญกับแนวรับที่ 1,180 จุด ที่จะช่วยกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนี หากสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระยะสั้น

ในขณะเดียวกัน กลุ่มกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้ออกมาแสดงความวิตกเกี่ยวกับมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ที่อาจกระทบกับการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 68 โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความเสี่ยงสูงในปีนี้

หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในช่วงเช้า ได้แก่ AOT ที่มูลค่าการซื้อขาย 1,910.20 ล้านบาท ปิดที่ 41.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท, ADVANC ปิดที่ 271.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท, DELTA ปิดที่ 71.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท, TOP ปิดที่ 24.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และ CPALL ปิดที่ 52.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

ในภาพรวม ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกทั้งการประนีประนอมสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน แต่ยังต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากเศรษฐกิจไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในอนาคต การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลกยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในการปรับกลยุทธ์การลงทุน