ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในวันพุธที่ 5 มีนาคม ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายการผลิตของโอเปกพลัส (OPEC+) โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 1.80 ดอลลาร์ หรือ 2.53% มาอยู่ที่ 69.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ลดลง 2.05 ดอลลาร์ หรือ 3% มาอยู่ที่ 66.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

การลดลงนี้เกิดจากการคาดการณ์ว่าโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน ซึ่งอาจทำให้เกิดการล้นตลาดน้ำมัน ในขณะที่การตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตร เช่น จีน แคนาดา และเม็กซิโก ยังส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในตลาดน้ำมันเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการน้ำมันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากแตะระดับต่ำสุดในหลายปี โดยน้ำมันเบรนท์ลดลงสู่ 68.33 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2021 และน้ำมัน WTI ต่ำสุดที่ 65.22 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากการประกาศข่าวเกี่ยวกับการผ่อนปรนภาษีนำเข้าพลังงานจากแคนาดา

ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) รายงานว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงตามไปด้วย ขณะเดียวกันการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้ปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นลดลง

การตอบโต้จากประเทศต่างๆ ต่อการขึ้นภาษีศุลกากรจากทรัมป์ ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความต้องการน้ำมันทั่วโลก ซึ่งนักวิเคราะห์จาก JP Morgan คาดว่า การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันอาจลดลงถึง 180,000 บาร์เรลต่อวัน หากการเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ ชะลอตัว 1%

กลุ่มโอเปกพลัสในระหว่างการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีมติที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมัน 138,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของแผนเพิ่มการผลิตรายเดือนเพื่อสิ้นสุดการลดการผลิตที่เกือบ 6 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2022 นักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดการณ์ว่าโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตเพียงเล็กน้อยในแต่ละเดือน และไม่ยกเลิกการลดการผลิตทั้งหมดในทันที

อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันคือการยุติใบอนุญาตให้เชฟรอนดำเนินกิจการในเวเนซุเอลาของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้อุปทานน้ำมันจากเวเนซุเอลาเสี่ยงลดลง 200,000 บาร์เรลต่อวัน

ในขณะเดียวกัน ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์น้ำมันท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในหลายภูมิภาค

การปรับตัวของราคาน้ำมันในช่วงนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดน้ำมัน ซึ่งยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการผลิตและความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงในนโยบายพลังงานของประเทศใหญ่ และการผันผวนของเศรษฐกิจโลก