วันนี้ (11 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามคำสั่งไล่ออกจากราชการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังคณะกรรมการพิจารณาโทษ ซึ่งมี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดเป็นประธาน และมีรอง ผบ.ตร.ทุกคนรวมถึงจเรตำรวจแห่งชาติร่วมเป็นคณะกรรมการ ได้มีมติให้ลงโทษวินัยร้ายแรง ส่งผลให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หมดสิทธิ์ได้รับบำเหน็จบำนาญ โดยคำสั่งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งนำโดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปผลการสอบสวนก่อนส่งให้กองวินัยตรวจสอบและเสนอให้ ผบ.ตร. พิจารณา

ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการพิจารณาโทษเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จากกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษสถานหนักสุดคือ ไล่ออกจากราชการ อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งนี้ภายใน 30 วันต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และหากผลการพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. ยังคงยืนตามมติเดิม เจ้าตัวสามารถยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดตัดสินยืนตามคำสั่งเดิม กระบวนการพิจารณาถอดยศตำรวจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็จะเริ่มขึ้นต่อไป

ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 125 ระบุว่า ข้าราชการตำรวจที่กระทำผิดวินัยร้ายแรงสามารถถูกลงโทษได้สองสถาน คือ ปลดออกหรือไล่ออก โดยคณะกรรมการพิจารณาโทษจะเป็นผู้เสนอแนะบทลงโทษต่อ ผบ.ตร. ซึ่ง ผบ.ตร. จะต้องมีคำสั่งเป็นไปตามข้อเสนอแนะดังกล่าว กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการฯ ได้เสนอให้ลงโทษสถานหนักที่สุดคือ การไล่ออกจากราชการ ส่งผลให้หมดสิทธิ์รับบำเหน็จบำนาญ และไม่มีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์ใด ๆ จากการรับราชการตำรวจ

คำสั่งไล่ออกจากราชการในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งโครงสร้างภายในองค์กรและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ เจ้าตัวถือเป็นนายตำรวจระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญ และถูกจับตามองอย่างมากในแวดวงราชการ ขณะที่เจ้าตัวเองยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ และมีแนวโน้มจะใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการต่อสู้คดีต่อไป ทั้งในชั้นพิจารณาของ ก.พ.ค.ตร. และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าผลลัพธ์ของคดีนี้จะเป็นอย่างไร และอนาคตของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หลังพ้นจากตำแหน่งจะเป็นไปในทิศทางใด