เปียงยาง — กว่า 75 ปีแล้วที่ราชวงศ์คิมปกครองเกาหลีเหนือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่คิม อิลซุง ผู้ก่อตั้งประเทศ ไปสู่คิม จองอิล และต่อมาคือ คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันของประเทศที่ปิดตัวที่สุดในโลก

คิม จองอึน ขึ้นสู่อำนาจในปี 2011 ภายหลังการเสียชีวิตของบิดา ตอนนั้นหลายฝ่ายยังสงสัยว่าเขาจะสามารถควบคุมอำนาจได้จริงหรือไม่ ด้วยอายุที่ยังน้อยและขาดประสบการณ์ทางทหาร แต่ในเวลาไม่นาน เขาก็แสดงให้โลกเห็นถึงความโหดเหี้ยมและเฉียบขาด ไม่ต่างจากผู้นำเผด็จการที่โลกเคยรู้จักในอดีต เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือ โจเซฟ สตาลิน

เขาสั่งประหาร “ลุง” ของตัวเองที่เคยมีอิทธิพลในรัฐบาล และมีรายงานว่าอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารพี่ชายต่างมารดาที่สนามบินในต่างประเทศ การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงตอกย้ำความเด็ดขาด แต่ยังส่งสัญญาณเตือนต่อคนรอบตัวว่าหากไม่ภักดีอย่างแท้จริง อาจไม่มีที่ยืนในระบอบนี้

แต่ในขณะที่ภายนอกดูเหมือนมั่นคง การเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่รุ่นถัดไปกลับกลายเป็นจุดเปราะบางที่อาจกลายเป็นหายนะในระยะยาว

มีรายงานว่าคิม จองอึนกำลังวางตัวลูกสาวชื่อ “คิม จูแอ” ให้เป็นทายาทคนต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในโครงสร้างชายเป็นใหญ่ของเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะในกองทัพที่ยังคงมีวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่แบบอนุรักษ์นิยม หากวันหนึ่งเขาเสียชีวิตหรือหมดอำนาจโดยที่ลูกสาวยังไม่มีบทบาทและการยอมรับอย่างแท้จริง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในระดับสูงที่ยากควบคุม

สถานการณ์อาจเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อรวมเข้ากับปัจจัยด้านสุขภาพของผู้นำ ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่า คิม จองอึนมีภาวะอ้วนขั้นรุนแรง และเคยหายตัวไปจากสาธารณะชนหลายครั้งอย่างน่าสงสัย รายงานข่าวจากสายข่าวเกาหลีใต้บางสำนักชี้ว่าเขาอาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือหลอดเลือดสมอง ซึ่งหากเป็นจริง ยิ่งเร่งเวลาให้เกาหลีเหนือต้องเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านอย่างไม่พร้อม

นอกจากปัญหาภายในแล้ว โลกภายนอกเองก็กำลังบีบคั้นมากขึ้น ความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในการคว่ำบาตรยังคงดำเนินต่อเนื่อง เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย เช่น อินเทอร์เน็ตดาวเทียม เริ่มเข้าใกล้พรมแดนมากขึ้น และแม้จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ข้อมูลจากเกาหลีใต้ จีน และประเทศตะวันตก ก็ยังเล็ดลอดเข้าไปในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม

มีการลักลอบนำเข้าคลิปวิดีโอ ดนตรี ดราม่าเกาหลี และรายการเรียลลิตี้โชว์ ผ่าน USB และอุปกรณ์พกพา ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของประชาชนรุ่นใหม่อย่างเงียบๆ พวกเขาเริ่มเห็นว่าโลกภายนอกไม่เลวร้ายอย่างที่ถูกรัฐล้างสมองมาตลอดชีวิต

สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในวันนี้ แต่ในระยะยาว มันกำลังสั่นคลอน “ความกลัว” ที่เป็นรากฐานสำคัญของการควบคุมประเทศ หากความกลัวนั้นเสื่อมถอย การต่อต้านในรูปแบบต่างๆ ก็อาจปะทุขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว

แม้ในวันนี้ คิม จองอึนจะยังมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่เสถียรภาพของระบอบนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะหากผู้นำเสียชีวิตกะทันหัน ทายาทไม่สามารถสืบทอดอำนาจได้สำเร็จ หรือเกิดความแตกแยกภายในชนชั้นสูง เกาหลีเหนืออาจเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับเผด็จการหลายประเทศในอดีต

อนาคตของราชวงศ์คิมจึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ความสามารถของคิม จองอึนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะสามารถทำให้ระบบสืบทอดอำนาจ “โดยไม่ต้องพึ่งบุคลิกส่วนตัว” ดำรงอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องที่แม้แต่นิวเคลียร์ก็ไม่สามารถควบคุมได้

และหากวันใดวันหนึ่งเสียงจากโลกภายนอกดังกว่าเสียงจากผู้นำ วันนั้น “ราชวงศ์คิม” ก็อาจกลายเป็นเพียงตำนานหน้าเศร้าในประวัติศาสตร์ของคาบสมุทรเกาหลี