ทรัมป์เปรียบเทียบถล่มนิวเคลียร์อิหร่านเหมือนฮิโรชิมา-นางาซากิ ชี้ “จบสงคราม” แม้หน่วยข่าวกรองยังไม่ฟันธงผลลัพธ์
วันที่โพสต์: 26 มิถุนายน 2568 08:22:15 การดู 1 ครั้ง ผู้โพสต์ baikhao
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเปรียบเปรยการโจมตีเป้าหมายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ารุนแรงและส่งผล "จบสงคราม" ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล เหมือนกับที่สหรัฐฯ เคยทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในปี 1945 แม้ว่ารายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ จะยังไม่สรุปผลแน่ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้มีประสิทธิภาพเพียงใด
ระหว่างการแถลงข่าวในที่ประชุมสุดยอด NATO ณ กรุงเฮก ทรัมป์กล่าวว่า “ข่าวกรองบอกว่า ‘เราไม่รู้ มันอาจจะรุนแรงมากก็ได้’ งั้นผมก็จะบอกว่า ‘ใช่ มันรุนแรงมากแน่ๆ’ มันคือการลบล้างอย่างสิ้นเชิง (obliteration)”
คำพูดของทรัมป์มีขึ้นหลังจากสื่อหลายสำนัก รวมถึง Reuters รายงานว่า หน่วยงานข่าวกรองกลาโหมของสหรัฐฯ (DIA) ประเมินว่าผลจากการโจมตีทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้าเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ซึ่งขัดกับถ้อยแถลงของฝ่ายบริหารที่ยืนยันว่า “โครงการถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง”
สื่อถูกด่า นักบินถูกปกป้อง
ทรัมป์ใช้โอกาสนี้ตำหนิสื่อมวลชนที่รายงานเนื้อหาจากรายงานข่าวกรอง โดยระบุว่า “พวกเขากำลังโจมตีนักบินของเรา” ที่เข้าร่วมภารกิจทิ้งระเบิดเป้าหมายสำคัญของอิหร่าน พร้อมเสริมว่า การโจมตีครั้งนี้ “จบสงครามในแบบที่ต่างออกไป”
ข้างกายทรัมป์ในเวทีประชุม มีรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ และรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ร่วมแสดงจุดยืน โดยเฮกเซธโจมตีสื่อว่า “นี่คือรายงานลับสุดยอด เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น และมีความเชื่อมั่นต่ำ” เขายืนยันว่า FBI กำลังสอบสวนผู้ที่อาจทำให้รายงานนี้รั่วไหล
รูบิโอเสริมว่า “นี่คือเกมทางการเมือง” และผู้ที่นำรายงานออกไปเผยแพร่ “จงใจบิดเบือนข้อมูล”
เดิมพันทางการเมือง สงครามหรือคะแนนนิยม
ปฏิบัติการโจมตีอิหร่านถือเป็นความเสี่ยงทางการเมืองครั้งสำคัญของทรัมป์ ท่ามกลางแรงกดดันจากฐานเสียงอนุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปพัวพันกับสงครามต่างประเทศ ขัดแย้งกับแนวทาง “America First” ที่ทรัมป์ผลักดันมาตลอด
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ตอบโต้คำวิจารณ์ว่า เขาทำเพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นจุดยืนหลักที่เขายืนยันว่าจะไม่ยอมประนีประนอม
ชัยชนะด้านนโยบายต่างประเทศ
ในเวที NATO ผู้นำประเทศสมาชิกได้ประกาศแผนร่วมกันในการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 5% ของ GDP ซึ่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ถือเป็น “ชัยชนะเชิงนโยบายต่างประเทศ” ที่สะท้อนบทบาทนำของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของเขา
เหตุการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งระหว่างการใช้กำลังเพื่อผลลัพธ์ทางยุทธศาสตร์ กับการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารในยุคที่ “ความจริง” ถูกตั้งคำถาม ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนแรงทั้งในประเทศและระดับโลก การโจมตีที่ทรัมป์อ้างว่า “รุนแรงระดับจบสงคราม” อาจเป็นเพียงบทแรกของเรื่องราวที่ยังไม่ถึงบทสรุป
แท็ก: สงคราม