เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยได้ดำเนินการผลักดันแรงงานชาวกัมพูชาจำนวนประมาณ 70 คน ซึ่งลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยไม่มีเอกสารอนุญาตอย่างถูกต้อง กลับประเทศต้นทาง โดยมีสิ่งของสัมภาระจำเป็นติดตัวกลับไปด้วย

แรงงานกลุ่มดังกล่าวมีทั้งผู้ที่ถูกควบคุมตัวจากหลายพื้นที่ภายในประเทศ และบางส่วนเป็นผู้แสดงความประสงค์จะเดินทางกลับเอง เจ้าหน้าที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือและดูแลตามหลักมนุษยธรรม ทั้งด้านอาหาร น้ำดื่ม และการขนย้ายสัมภาระ เพื่อส่งกลับประเทศผ่านด่านชายแดนอย่างปลอดภัย

เมื่อเดินทางถึงฝั่งกัมพูชา แรงงานทั้งหมดได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและถูกนำตัวไปยังเต็นท์คัดกรองเบื้องต้น ซึ่งกระทรวงแรงงานกัมพูชาได้จัดตั้งไว้ โดยมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐคอยแนะนำและรับสมัครแรงงานว่างงานเข้าสู่ระบบใหม่ พร้อมเสนอแนวทางการจ้างงานกับกิจการที่มีทุนจากจีนตามนโยบายภาครัฐ

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ชายแดนยังคงเผชิญแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ หลังสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศระงับการนำเข้าสินค้าจากไทยอย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลเชิงการเมือง แต่แหล่งข่าวในพื้นที่เผยว่า ชาวกัมพูชายังคงบริโภคสินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง

แหล่งข่าวฝั่งกัมพูชาเปิดเผยว่า ขณะที่การค้าระหว่างไทยกับกัมพูชาถูกจำกัด นายทุนชาวกัมพูชาได้หันไปใช้ช่องทางค้าขายผ่านฝั่ง สปป.ลาว โดยรับซื้อสินค้าจากพ่อค้าแม่ค้าชาวลาวที่นำเข้าสินค้าไทย ก่อนนำกลับเข้ากัมพูชา แม้ราคาจะสูงขึ้นบ้างจากการขนส่งอ้อม แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ เนื่องจากความนิยมในสินค้าจากไทยยังคงสูง

สินค้าอุปโภคบริโภคจากไทย เช่น ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม ปลากระป๋อง เครื่องปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และของใช้ในครัวเรือน ยังคงเป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวันของชาวกัมพูชา แม้จะเผชิญอุปสรรคด้านการค้าอย่างเป็นทางการ แต่ตลาดสินค้าไทยในกัมพูชายังคงเติบโตต่อไปผ่านช่องทางทางเลือก

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนความผูกพันเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ ที่ยังคงต้องพึ่งพาและเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายในระดับรัฐ