การประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) จัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู โดยมีผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมถึงสหรัฐอเมริกาและจีนเข้าร่วม ทั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก่อนการสืบทอดตำแหน่งโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยทรัมป์สนับสนุนนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" และมุ่งเน้นการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการกีดกันทางการค้าและความเป็นไปได้ของสงครามการค้าทั่วโลก

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "เสริมพลังและเติบโต" ซึ่งมุ่งเน้นการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกจะชะลอตัวในระยะยาว เนื่องจากข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยอัตราการเติบโตมีแนวโน้มลดลงเหลือ 3.1% ในปี 2025 จาก 3.5% ในปีนี้ ขณะที่สหรัฐฯ มีท่าทีสนับสนุนการค้าทวิภาคีมากขึ้น ทำให้หลายประเทศสมาชิกเกิดความกังวลว่าอาจกระทบความร่วมมือพหุภาคี

ด้านความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ การพบปะระหว่างไบเดนและสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยสี จิ้นผิง คาดว่าจะเปิดตัวท่าเรือชานเคย์ (Chancay) ในเปรู ซึ่งเป็นโครงการขนส่งทางมหาสมุทรแปซิฟิกที่ใหญ่และมีศักยภาพสูง ทำให้สหรัฐฯ ตื่นตัวเรื่องความเสี่ยงด้านความปลอดภัย แต่ท่าเรือนี้จะช่วยลดเวลาการขนส่งระหว่างอเมริกาใต้และเอเชีย และเสริมสร้างบทบาทของจีนในละตินอเมริกา

ประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย โดยนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะเข้าร่วมการประชุมผู้นำ APEC พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะหารือเกี่ยวกับแนวทางการค้าและการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิก