มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก หลังจากที่มีการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นครอบคลุมสินค้าหลายประเภท เช่น ผักและผลไม้สด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รถยนต์ เสื้อผ้าแฟชั่น รวมถึงสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 25% จากทุกประเทศ

มาตรการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะสินค้าประเภทวัตถุดิบและสินค้าส่งออกที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างสูง ทำให้ทั่วโลกกำลังจับตามองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ในระดับสูง

นักวิเคราะห์เตือนผลกระทบหนักต่อเอเชีย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักต่างออกมาเตือนว่า สงครามการค้าครั้งใหม่นี้อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียและไทย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ

โซนัล วาร์มา นักวิเคราะห์จากโนมูระโฮลดิ้ง เปิดเผยว่า ประเทศในเอเชียมีอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และอาจถูกตอบโต้ด้วยมาตรการที่รุนแรงกว่า โดยคาดการณ์ว่าหลายประเทศจะต้องเร่งเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีที่อาจทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว

ไทยเผชิญความเสี่ยงภาษีนำเข้าสูงขึ้น

ทีมนักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กอีโคโนมิกส์และดอยช์แบงก์ชี้ว่า ไทยอาจต้องเผชิญภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น 4-6% หากสหรัฐฯ เดินหน้ามาตรการดังกล่าวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยสินค้าหลักที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ และสินค้าเกษตร

มาเอวา คัซเซิน นักวิเคราะห์ด้านภาษีการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า อินเดียและไทยมีโอกาสถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เนื่องจากอัตราภาษีเฉลี่ยที่ทั้งสองประเทศเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าสหรัฐฯ สูงกว่าภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสองประเทศนี้ ส่งผลให้ไทยต้องเร่งดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

การตอบโต้ของไทยและประเทศคู่ค้า

หอการค้าไทยได้ออกมาเตือนรัฐบาลให้เตรียมพร้อมในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ โดยได้เสนอให้รัฐบาลเร่งทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ พร้อมกับเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ เช่น สินค้าเกษตร และวัตถุดิบที่สามารถใช้ในอุตสาหกรรมภายในประเทศ

นอกจากนี้ อินเดียเองก็มีแนวโน้มจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการภาษี เช่น การนำเข้าอุปกรณ์ป้องกันประเทศ พลังงาน และเครื่องบิน ขณะที่จีนเองก็อาจต้องปรับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

รัฐบาลไทยเตรียมแผนรับมือเสนอ ครม.

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเตรียมความพร้อมในการเจรจาเพื่อลดผลกระทบ โดยแต่งตั้งคณะทำงานด้านนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทาง 2 ประการ ได้แก่:

  1. การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าอยู่แล้ว
  2. การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สินค้าส่งออกของไทยหลายรายการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และบางส่วนเป็นสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทสหรัฐฯ ที่ตั้งฐานการผลิตในไทย

ทิศทางการค้าโลกภายใต้ยุค "ทรัมป์ 2.0"

เมื่อเปรียบเทียบสงครามการค้าครั้งแรกของทรัมป์ในปี 2561-2562 กับสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่ามาตรการภาษีของ "ทรัมป์ 2.0" มีความเข้มงวดมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักวิเคราะห์มองว่าความตึงเครียดด้านการค้าอาจยกระดับไปสู่ภาวะที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง โดยเฉพาะกับตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว