เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาได้ทดสอบความมั่นใจของผู้บริโภคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวสูงที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบด้านจิตใจและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากกว่าบ้านแนวราบ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่กระทบในด้านเทคนิคโครงสร้างอาคารเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการและความรับผิดชอบของดีเวลลอปเปอร์และนิติบุคคลด้วย

หลายโครงการได้ดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างอาคารทันทีหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งการดำเนินการนี้ช่วยฟื้นฟูความมั่นใจของลูกบ้านในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบุคคลของคอนโดมิเนียมก็มีการสื่อสารเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารและเปิดให้ลูกบ้านตรวจสอบโครงสร้างได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและลดความวิตกกังวลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดแค่เรื่องของความมั่นใจทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากการ “ซื้อ” เป็นการ “รอ” มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าของห้องบางส่วนเริ่มย้ายออกชั่วคราวหรือยกเลิกการซื้อขาย ซึ่งอาจทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เห็นยอดขายและการโอนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แม้จะมีการคาดการณ์ว่ายอดขายอาจชะลอตัวลง แต่ตลาดยังไม่น่าจะ “ชะงัก” จนถึงขั้นวิกฤติ เพราะความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นในการหาที่อยู่อาศัยจริง ๆ หรือผู้ที่รอโอกาสในการลงทุนจากตลาดที่คาดว่าจะฟื้นตัวในอนาคต

จากเหตุการณ์นี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้ซื้อเริ่มให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของผู้รับเหมาก่อสร้างมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีประวัติการก่อสร้างอาคารคุณภาพสูงและไม่ประสบปัญหาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว อาทิเช่น Obayashi จากญี่ปุ่น หรือ Ritta ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคพิจารณาในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน

ความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยการตลาดสำคัญ ที่ลูกค้าจะมองหาความอุ่นใจมากกว่าความคุ้มค่าเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่งผลให้แบรนด์ที่สามารถรับมือกับวิกฤติและดูแลลูกค้าดีในทุกสถานการณ์จะกลายเป็นที่ชื่นชอบและมีความน่าเชื่อถือในระยะยาว

สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจทำให้ทั้งดีเวลลอปเปอร์ ผู้รับเหมา และนิติบุคคลได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในระยะยาว เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แบรนด์ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ในช่วงเวลาที่มีวิกฤติจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งในตลาดได้มากที่สุด แม้จะไม่ได้ขายได้เร็วที่สุด แต่สามารถสร้างความรับผิดชอบและโปร่งใสให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง