วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือกรณีพลทหารได้รับบาดเจ็บจากเหตุเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตรงบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่า กระทรวง พม. ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้อย่างยิ่ง และได้กำหนดลงพื้นที่ร่วมกับหลายหน่วยงานในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เพื่อให้กำลังใจและสนับสนุนความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง

การลงพื้นที่ในครั้งนี้จะมีทั้งผู้บริหารระดับสูง อาทิ นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และเจ้าหน้าที่จากกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานท้องถิ่น ได้แก่ พลเอกวสุ เจียมสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พลโทธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล รองเสนาธิการทหารบก ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงองค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไฮไลต์สำคัญของการเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ คือการมอบขาเทียมไดนามิก "sPace" ซึ่งเป็นผลงานวิจัยด้านวิศวกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พัฒนาขึ้นด้วยงบสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวง พม. โดยขาเทียมรุ่นนี้ออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบา ทนทาน และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด

“เราต้องการให้ทหารกล้าทั้ง 3 นายที่ได้รับบาดเจ็บกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงคนทั่วไปให้ได้มากที่สุด” นายวราวุธกล่าว พร้อมระบุว่าจะมีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ ทั้งจากกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืนผ่านระบบการช่วยเหลือเชิงรุก

นอกจากความช่วยเหลือเชิงสังคมแล้ว ทางมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา ยังเตรียมมอบเงินช่วยเหลือส่วนตัวให้กับพลทหารที่บาดเจ็บด้วย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและแบ่งเบาภาระในเบื้องต้น

ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ยังคงยืนหยัดในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยกลไกบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และตัวแทนผู้รอดชีวิต เพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการ และครอบคลุมอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน กระทรวง พม. ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย "One Data for All Rights" เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้น้อย ให้ได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง พร้อมวางระบบบูรณาการการช่วยเหลือใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ รายได้ อาชีพ สุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการสังคม โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ผู้รับสิทธิสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนโครงการ "ครอบครัวอุปการะ" เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนมีบทบาทในการดูแลคนพิการร่วมกับภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือชายแดน ที่อาจเข้าถึงบริการรัฐได้ยาก

การบูรณาการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยืนหยัดเคียงข้างผู้เสียสละที่ได้รับผลกระทบจากภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องแผ่นดินไทย