รัฐบาลออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หลังจากที่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่งพลัส ได้ ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปใช้สิทธิร่วมจ่ายค่าใช้จ่ายระหว่างรัฐกับประชาชน โดยมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเสียโอกาส รัฐบาลจึงตัดสินใจ โอนเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ครั้งเดียวจำนวน 1,700 บาท เข้าสู่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน ทำให้ยอดรวมสิทธิที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากเดิม 300 บาท กลายเป็น รวมทั้งสิ้น 2,000 บาทต่อคน
มาตรการครั้งนี้ถือเป็นการเยียวยาที่ตรงจุด เพราะกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่วนใหญ่เป็นประชาชนฐานรากที่มีรายได้ต่ำ และประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้เงินที่อัดฉีดเข้าไปนี้ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประจำวัน ทั้งด้านอาหาร อุปโภคบริโภค และสินค้าจำเป็น
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า การเติมเงินครั้งนี้จะโอนเข้าพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถนำไปใช้ได้ทันที โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการยังคงรองรับการใช้สิทธิเช่นเดิม ครอบคลุมทั้งร้านธงฟ้า ร้านค้าชุมชน และร้านค้าที่ร่วมรายการในระบบ
นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจมองว่า การโอนเงินตรงเข้าสู่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะช่วยหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้ถือบัตรมักใช้จ่ายกับร้านค้าในพื้นที่ ทำให้เงินกระจายสู่ชุมชนฐานราก ขณะเดียวกันก็ช่วยพยุงกำลังซื้อในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลย้ำว่ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นเพียงการเสริมความคุ้มครองให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่การทดแทนโครงการคนละครึ่งพลัส และยังคงเดินหน้ามาตรการอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่กันไป