หลังจากเงียบหายไปนาน ล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีจากสโลวาเกีย Tachyum กลับมาเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง เมื่อประกาศแผนการพัฒนา Prodigy ชิปประมวลผลอเนกประสงค์ (Universal Processor) สำหรับงาน AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (HPC) ที่ถูกพูดถึงมานาน โดยรอบนี้ Tachyum ไม่เพียงเพิ่มสเปกเท่านั้น แต่ยังประกาศความพร้อมทางการเงินรอบใหญ่ มูลค่ากว่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนยุโรป พร้อมคำสั่งซื้อมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ จากรายเดียวกัน

ไฮไลต์สำคัญคือการอัปเกรดสถาปัตยกรรม multi-chiplet design โดยแต่ละชิปเลตจะมีคอร์มากถึง 256 คอร์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีเพียง 192 คอร์เมื่อต้นปี และมากกว่าเดิมเท่าตัวจากรุ่นต้นแบบ 128 คอร์ แนวคิดนี้จะช่วยให้ Prodigy มีพลังประมวลผลสูงขึ้นมหาศาลตามที่บริษัทเคยประกาศไว้ว่า “แรงกว่า CPU x86 ระดับสูงสุด 3 เท่า และแรงกว่า GPU สำหรับงาน HPC ถึง 6 เท่า” แม้ตัวเลขเหล่านี้ยังคงอยู่ในขั้นคาดการณ์ เนื่องจากชิปยังไม่เข้าสู่กระบวนการ “tape-out” หรือการออกแบบขั้นสุดท้ายก็ตาม

ดร. Radoslav Danilak ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Tachyum ระบุว่าการระดมทุนรอบนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งพัฒนา Prodigy ให้เข้าสู่การผลิตจริง “เงินทุนนี้จะช่วยให้เราสามารถปิดดีไซน์ของชิป Prodigy ได้สมบูรณ์ พร้อมปรับปรุงเทคโนโลยีล่าสุดให้ตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” เขากล่าว พร้อมยืนยันว่าเป้าหมายของบริษัทคือการทำให้ Prodigy กลายเป็นชิปที่พลิกวงการ AI และ HPC

Tachyum เผยว่าชิปจะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5 นาโนเมตรของ TSMC โดยตั้งเป้าเข้าสู่กระบวนการออกแบบขั้นสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน 2025 และคาดว่าจะได้ชิปต้นแบบชุดแรกในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2026 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงทดสอบและปรับแต่งเฟิร์มแวร์ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ชิป Prodigy จะพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2027

ถึงแม้ Prodigy จะเป็นโครงการที่ใช้เวลาพัฒนายาวนานกว่าทศวรรษ — จากเดิมที่ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2020 แต่เลื่อนมาแล้วหลายครั้ง — Tachyum ยังเชื่อมั่นว่าผลงานนี้จะเปลี่ยนสมดุลของตลาด AI อย่างแท้จริง ดร. Danilak กล่าวทิ้งท้ายว่า “ตอนนี้คือช่วงเวลาที่การแข่งขันด้าน AI ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ และเรากำลังจะนำเสนอชิปที่ทรงพลังพอจะรองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่กว่าสมองมนุษย์ได้ในราคาที่จับต้องได้”

หากทุกอย่างเดินหน้าได้ตามกำหนด Tachyum Prodigy จะเป็นหนึ่งในชิปที่ใช้เวลาพัฒนายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แต่ก็อาจกลายเป็น “ม้ามืด” ที่จะเปลี่ยนโฉมวงการประมวลผลโลกในปี 2027 อย่างแน่นอน

ที่มา : tomshardware