Apple รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสิ้นสุดเดือนมีนาคม โดยทำผลงานเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 95.4 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าประมาณการณ์ที่ 94.6 พันล้านดอลลาร์ และเติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 1.65 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้ที่ 1.62 ดอลลาร์ และสูงขึ้นถึง 8% จากปีที่แล้ว

Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวอย่างมั่นใจว่า “วันนี้ Apple รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเติบโตของบริการในระดับเลขสองหลัก” โดยบริการของ Apple ซึ่งรวมถึง iCloud, Apple Music, App Store และบริการสมัครสมาชิกอื่น ๆ ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 26.65 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 23.87 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

ถึงแม้ Apple จะได้รับแรงกดดันด้านกฎหมายในเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมจากนักพัฒนาแอป โดยอาจต้องปรับกฎเกณฑ์เรื่องการสร้างรายได้ผ่าน App Store ในอนาคต แต่รายได้จากบริการในไตรมาสนี้ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจในภาคส่วนนี้

ในส่วนของฮาร์ดแวร์ iPhone ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลัก โดยทำรายได้ไปถึง 46.84 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่น ๆ อย่าง Mac, iPad และอุปกรณ์สวมใส่ (รวมถึงอุปกรณ์ภายในบ้าน) มีรายได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันแต่ยังต่ำกว่ากลุ่ม iPhone อย่างมีนัยสำคัญ

ด้านภูมิภาค ยอดขายในอเมริกา ญี่ปุ่น และเอเชียแปซิฟิกเติบโตขึ้น ขณะที่ยอดขายในยุโรปและจีนยังคงทรงตัว ซึ่งอาจสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงขึ้นในบางตลาด

Kevan Parekh ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Apple กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาสมีนาคมของเราทำให้ EPS เติบโตถึง 8% และสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ถึง 24 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยให้เราสามารถคืนเงินให้ผู้ถือหุ้นได้มากถึง 29 พันล้านดอลลาร์”

Apple ยังได้ประกาศ เพิ่มเงินปันผลเป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น (เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน) ซึ่งจะจ่ายในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ พร้อมทั้งเปิดเผยแผน ซื้อหุ้นคืนขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 100 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

การเติบโตที่โดดเด่นในกลุ่มบริการและการบริหารการเงินที่แข็งแกร่งของ Apple ยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากกฎระเบียบและการแข่งขันในบางตลาดก็ตาม