บีวายดี (BYD Co.) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีน กำลังเจอแรงกดดันครั้งสำคัญ หลังรายงานยอดส่งมอบรถยนต์เดือนกันยายน 2568 ลดลงเหลือ 396,270 คัน หดตัวลง 5.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า นับเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 18 เดือน และหากไม่นับความผันผวนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการหดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2563 ที่สถานการณ์โควิด-19 ฉุดอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก

การชะลอตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ BYD ปรับลดเป้าหมายยอดขายปี 2568 ลงราว 16% จาก 5.5 ล้านคัน เหลือ 4.6 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงกลับดีดตัวขึ้นกว่า 2.9% ในวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา สะท้อนว่าตลาดยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาว แม้ยอดขายล่าสุดสะดุดก็ตาม

เมื่อเปรียบเทียบกับ Tesla แล้ว BYD ยังคงครองความได้เปรียบ โดยในไตรมาส 3/2568 มียอดส่งมอบมากกว่า 582,000 คัน ในขณะที่ Tesla ถูกคาดการณ์ว่าจะทำได้เพียงประมาณ 439,600 คัน แม้ Tesla ยังมีภาพลักษณ์ระดับโลก แต่ในตลาดจีนกลับถูกท้าทายจากผู้เล่นท้องถิ่นที่รุกหนักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Geely ที่ทำยอดได้กว่า 273,125 คัน เพิ่มขึ้นถึง 35% จากปีก่อน, Xpeng ที่ส่งมอบกว่า 41,581 คัน โต 95%, Leapmotor ที่ทำสถิติใหม่กว่า 66,657 คัน เพิ่มขึ้นเกือบ 97% รวมถึง Xiaomi ที่เพิ่งเปิดตัวรถรุ่น YU7 และทำยอดได้กว่า 40,000 คันในเดือนเดียว

แรงกดดันของ BYD ในช่วงไตรมาสสุดท้ายยังคงรุนแรง นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์คำนวณว่า บริษัทจำเป็นต้องทำยอดเฉลี่ยอย่างน้อย 447,000 คันต่อเดือนเพื่อให้ถึงเป้าหมาย 4.6 ล้านคัน ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุติสงครามราคาที่ทำให้การแข่งขันไร้เสถียรภาพและบั่นทอนกำไรของอุตสาหกรรม

ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนในเดือนกันยายนเติบโตเพียง 10% แบบเดือนต่อเดือน ต่ำกว่าที่ Citi Research ประเมินไว้ที่ 15% แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าช่วงปลายปีจะมีแรงซื้อกลับมาเพิ่มขึ้น เพราะมาตรการลดภาษี EV กำลังจะสิ้นสุดในปี 2569 ทำให้ผู้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อก่อนที่ราคาจะสูงขึ้น

แม้จะเผชิญความท้าทายและตัวเลขยอดส่งมอบล่าสุดจะสะดุด แต่ BYD ยังคงมีแต้มต่อด้านขนาดการผลิต เครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง การแข่งขันในตลาด EV ของจีนจึงไม่ใช่เพียงศึกด้านเทคโนโลยี แต่เป็นการวัดกันที่กลยุทธ์การตลาด การบริการหลังการขาย และความสามารถในการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหารถยนต์เชื่อมต่อกับวิถีชีวิตดิจิทัลในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าใครคือผู้นำที่แท้จริงในตลาดที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก