ยักษ์ใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าจีน BYD เดินหน้าสู่บทบาทผู้เล่นระดับโลกเต็มตัว หลังเปิดตัวกองเรือขนส่งรถยนต์ครบ 8 ลำ ภายในเวลาไม่ถึงสองปี ส่งผลให้มีขีดความสามารถลำเลียงยานยนต์ออกนอกประเทศได้มากกว่า 1 ล้านคันต่อปี
กองเรือใหม่ เปลี่ยนเกมส่งออกรถยนต์
เรือลำล่าสุด BYD Jinan เข้าประจำการเป็นลำที่ 8 ต่อจาก Explorer No.1, Hefei, Changzhou, Shenzhen, Xi’an, Changsha และ Zhengzhou โดยทั้งหมดเป็น เรือ RoRo (Roll-on/Roll-off) ที่ออกแบบมาสำหรับบรรทุกรถยนต์โดยตรง ไม่ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ความจุสูงสุดต่อเรืออยู่ที่ 9,000 คัน

ปัจจุบันเรือหลายลำกำลังปฏิบัติภารกิจในเส้นทางยุโรป เช่น BYD Hefei ที่ขนรถไปส่งที่ทวีปยุโรปแล้ว และ BYD Xi’an ที่จะเข้าเทียบท่าบาร์เซโลนาในเร็วๆ นี้
ไม่พึ่งจีนเพียงอย่างเดียว
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ BYD เริ่มใช้ ฐานการผลิตในต่างประเทศเพื่อการส่งออก โดยเรือ BYD Zhengzhou เพิ่งบรรทุกยานยนต์พวงมาลัยขวาจากโรงงานในประเทศไทยไปยังสหราชอาณาจักร ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังเบลเยียม ถือเป็นครั้งแรกที่รถจากโรงงานนอกจีนถูกส่งออกสู่ยุโรป
การเคลื่อนไหวนี้ช่วยให้ BYD หลีกเลี่ยงมาตรการภาษีตอบโต้การอุดหนุน (anti-subsidy tariffs) ของสหภาพยุโรปที่กำหนดเพิ่มขึ้นอีก 17% จากอัตราปกติ 10%
ขยายฐานผลิตทั่วโลก
นอกจากไทย BYD ยังขยายโรงงานในหลายประเทศ เช่น
บราซิล: เริ่มสายการผลิตรุ่น Seagull แล้ว
ฮังการี: โรงงานยุโรปแห่งแรก กำหนดผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2569
ปากีสถาน: เดินเครื่องปี 2569
อุซเบกิสถาน: เริ่มผลิตจริงตั้งแต่กลางปี 2567
โรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแบบ KD (Knock-down kits) คือชิ้นส่วนผลิตจากจีนแล้วนำไปประกอบในประเทศปลายทาง เพื่อเพิ่มการจ้างงานและลดแรงเสียดทานด้านการค้า
ต่างประเทศคือหัวใจของการเติบโต
แม้ยอดขายในจีนจะเผชิญแรงกดดัน แต่ตลาดต่างประเทศกลับทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 BYD ขายรถนอกประเทศไปแล้วกว่า 697,000 คัน และยังตั้งเป้าทะลุ 1 ล้านคัน ก่อนสิ้นปี
การมีเรือขนส่งของตนเองทำให้ BYD ไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายอื่น ลดต้นทุน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการเส้นทางการค้า นับเป็นก้าวใหญ่ที่ตอกย้ำเป้าหมายการเป็น แบรนด์รถไฟฟ้าสัญชาติจีนที่มีอิทธิพลระดับโลก