ตำรวจไซเบอร์ได้เดินหน้าปรับมาตรการการอายัดบัญชีธนาคารเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปรับกลยุทธ์ใหม่ในการฟอกเงิน โดยแทนที่จะโอนเข้าบัญชีม้าแล้วนำไปซื้อเงินสกุลดิจิทัลเหมือนที่เคยทำในอดีต ปัจจุบันกลับใช้วิธีการผ่านร้านค้าหรือผู้ประกอบการบางราย ไม่ว่าผู้ค้าเหล่านั้นจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ด้วยการทำธุรกรรมปลอม เช่น การโอนเงินเข้าร้านค้าแล้วรับสินค้าเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นเงินสดภายหลัง กลยุทธ์นี้ทำให้เส้นทางการเงินถูกซ่อนเร้นได้แนบเนียนขึ้น และสร้างความยากลำบากต่อเจ้าหน้าที่ในการติดตามและนำเงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย

ปรากฏการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างชัดเจน นั่นคือประชาชนผู้บริสุทธิ์บางส่วน รวมถึงผู้ประกอบการที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว อาจเผชิญกับการถูกอายัดบัญชีธนาคารแบบไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินตามปกติได้ แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมโดยตรงก็ตาม เรื่องนี้สร้างความกังวลอย่างมากในสังคม เนื่องจากมาตรการที่มีเป้าหมายในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของคนร้าย กลับกลายเป็นดาบสองคมที่กระทบต่อประชาชนสุจริต

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า การอายัดบัญชีต้องสงสัยถือเป็นมาตรการสำคัญในการปิดกั้นไม่ให้เงินที่ได้จากการหลอกลวงหรือผิดกฎหมายไหลต่อไปสู่มือขบวนการ อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรการติดตามเส้นทางการเงินมีความเข้มข้นขึ้น ก็มักจะเกิดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ที่อาจถูกเข้าใจผิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้เสียหายเพิ่งเข้าแจ้งความย้อนหลัง ทำให้การอายัดบัญชีครอบคลุมไปถึงบัญชีที่ไม่ควรถูกระงับ

ในอดีต ขบวนการมิจฉาชีพนิยมโอนเงินผ่านบัญชีม้าไปยังบัญชีแถวสองแถวสาม แล้วเปลี่ยนเป็นสกุลดิจิทัลเพื่อปกปิดร่องรอย แต่ปัจจุบันมีการหันมาใช้ร้านค้าเป็นเครื่องมือฟอกเงินมากขึ้น การซื้อขายสินค้าผ่านธุรกรรมที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย ถูกนำมาใช้แทนการลงทุนในคริปโต โดยร้านค้าที่ถูกใช้บางแห่งอาจไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีส่วนช่วยปกปิดเส้นทางการเงินให้ขบวนการอาชญากรรม วิธีการนี้ยิ่งทำให้การสืบสวนซับซ้อนมากขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงที่ประชาชนทั่วไปจะตกเป็นเหยื่อทางกฎหมายไปโดยไม่ตั้งใจ

เพื่อตอบสนองต่อเสียงสะท้อนจากประชาชน ตำรวจไซเบอร์จึงได้หารือร่วมกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีมติร่วมกันว่าจะเร่งทบทวนแนวทางการอายัดและปลดอายัดบัญชีใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติงานยังคงมีประสิทธิภาพในการหยุดยั้งคนร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้สุจริตให้น้อยที่สุด การปรับปรุงครั้งนี้จะเน้นไปที่ความรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน

นอกจากนี้ ตำรวจไซเบอร์ยังได้ยกระดับศูนย์รับเรื่องร้องเรียนอายัดบัญชี โดยเปิดช่องทางใหม่สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อได้สะดวกและตรงจุดมากขึ้น โดยเฉพาะสายด่วน 1441 สำหรับร้องเรียนทั่วไป และหมายเลขตรง 095-425-7478 และ 061-032-2914 สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบหรือปลดอายัดบัญชีโดยเฉพาะ เพื่อให้การแก้ปัญหามีความรวดเร็ว ลดความล่าช้าที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้บัญชี

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของตำรวจไซเบอร์ที่จะสร้างสมดุลระหว่างการปิดกั้นเส้นทางการเงินอาชญากร และการคุ้มครองสิทธิของประชาชนสุจริต ซึ่งถือเป็นประเด็นท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อให้มาตรการทางกฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่กลายเป็นภาระต่อสังคมที่ไม่ควรได้รับผลกระทบ