เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนกันยายน 2568 มาตรการด้านสวัสดิการจากภาครัฐยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนฐานรากให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13.5 ล้านคนที่ต่างเฝ้ารอการโอนเงินช่วยเหลือรอบใหม่ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วในสัปดาห์แรกของเดือนนี้ ขณะเดียวกันยังมีการเสริมมาตรการเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้พิการซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบางในสังคม เพื่อบรรเทาภาระในช่วงที่ค่าครองชีพยังคงอยู่ในระดับสูง

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่โอนเข้าบัตรสวัสดิการในเดือนกันยายนนี้ ประกอบไปด้วยวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 300 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนลดค่าใช้จ่ายก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อรอบสามเดือน ค่าโดยสารสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน ครอบคลุมทั้งระบบขนส่งของรัฐและเอกชนที่เข้าร่วม รวมถึงมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า 315 บาทต่อครัวเรือน และค่าน้ำประปาอีก 100 บาทต่อครัวเรือน เมื่อนำสิทธิทั้งหมดมารวมกัน เท่ากับว่าในเดือนนี้ผู้ถือบัตรสวัสดิการได้รับความช่วยเหลือรวมกว่า 1,545 บาทต่อราย ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่ช่วยให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายพื้นฐานได้ดีขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ วันที่ 20 กันยายนที่จะถึง ยังเป็นอีกหนึ่งวันที่ผู้พิการรอคอย เมื่อรัฐบาลเตรียมโอนเงินเพิ่มให้ผู้พิการที่มีสิทธิรับเบี้ยความพิการจาก 800 บาทต่อเดือน เป็น 1,000 บาท โดยการเพิ่มขึ้น 200 บาทนี้จะถูกโอนตรงเข้าบัญชีธนาคารของผู้มีสิทธิผ่านระบบพร้อมเพย์หรือบัญชีที่ใช้รับเงินเบี้ยเดิม การสนับสนุนเพิ่มเติมเช่นนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของภาครัฐในการดูแลกลุ่มประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่ามาตรการสวัสดิการไม่ได้ถูกละเลยแม้ในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดัน

ด้านนโยบายภาพใหญ่ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลางเพิ่มเติมกว่า 2,900 ล้านบาท เพื่อเติมเข้าสู่กองทุนประชารัฐสวัสดิการและให้มีงบประมาณเพียงพอต่อการดำเนินโครงการในระยะยาว การอัดฉีดเม็ดเงินก้อนนี้ไม่เพียงช่วยสร้างหลักประกันว่าประชาชนฐานรากจะยังได้รับสิทธิอย่างต่อเนื่อง แต่ยังถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงการเมืองว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างกลไกสวัสดิการเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม

ในเชิงเศรษฐกิจ วงเงินสวัสดิการที่กระจายออกไปในแต่ละเดือนแม้จะไม่สูงมากในระดับครัวเรือน แต่เมื่อรวมกันเป็นจำนวนผู้ถือสิทธิหลายสิบล้านราย ย่อมกลายเป็นแรงกระตุ้นการจับจ่ายที่หมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะร้านค้าชุมชนและผู้ประกอบการขนส่งที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์โดยตรง การใช้มาตรการเช่นนี้จึงถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากล่างขึ้นบน (bottom-up) ที่สำคัญ

นอกจากนี้ยังไม่อาจมองข้ามมิติทางการเมือง การเดินหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพยังสูง ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าภาครัฐไม่เพิกเฉยต่อเสียงสะท้อนของผู้มีรายได้น้อย การอนุมัติเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อต่อยอดโครงการยังสะท้อนถึงความพยายามสร้างความต่อเนื่องทางนโยบายสวัสดิการ ไม่ใช่มาตรการชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านความมั่นคงทางสังคมระยะยาว

เมื่อมองในภาพรวม มาตรการในเดือนกันยายน 2568 ไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือประชาชนรายเดือน แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายและความพยายามของรัฐบาลในการสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและเสียงเรียกร้องในประเทศ หากสามารถดำเนินการต่อเนื่องและปรับปรุงกลไกให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอาจกลายเป็นหนึ่งในฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว