จีนเดินหน้าทดลองดาต้าเซ็นเตอร์ใต้น้ำใกล้เซี่ยงไฮ้ ท่ามกลางความต้องการศูนย์ประมวลผลที่พุ่งสูงจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยที่อู่ต่อเรือในเมืองหนานทง คนงานกำลังเร่งเก็บงานแคปซูลเซิร์ฟเวอร์สีเหลืองขนาดใหญ่ซึ่งเตรียมจะถูกนำไปจมในทะเลช่วงกลางเดือนตุลาคม แนวคิดคือใช้กระแสน้ำเย็นใต้ทะเลช่วยระบายความร้อนแทนระบบทำความเย็นแบบใช้อากาศหรือการระเหยน้ำที่กินพลังงานมากบนฝั่ง “การทำงานใต้น้ำมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติ” หยาง เย่ รองประธานบริษัทไฮแลนเดอร์ ผู้พัฒนาอุปกรณ์ทางทะเลซึ่งเป็นแกนหลักของโครงการกล่าว โดยย้ำว่าศูนย์ข้อมูลบนบกกำลังเผชิญค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่พุ่งทะยานตามความนิยมของ AI และวิธีนี้ช่วยลดภาระทำความเย็นได้อย่างมีนัยสำคัญ

แคปซูลดังกล่าวถูกผลิตเป็นชิ้นส่วนบนบกก่อนนำไปติดตั้งในทะเล และจะรับพลังงานเกือบทั้งหมดจากกังหันลมนอกชายฝั่ง บริษัทระบุว่าสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจะเกิน 95% และการระบายความร้อนใต้น้ำสามารถลดการใช้พลังงานด้านคูลลิ่งได้ราว 90% ลูกค้ากลุ่มแรกจะรวมถึงไชน่าเทเลคอมและบริษัทคอมพิวติ้งเพื่อ AI ของรัฐ โครงการนี้นับเป็นหนึ่งในก้าวสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์ช่วงแรก ๆ ของโลก หลังไมโครซอฟท์เคยทดลองจมแคปซูลนอกชายฝั่งสกอตแลนด์เมื่อปี 2018 ก่อนยุติการพัฒนาต่อในเชิงพาณิชย์เมื่อกู้แคปซูลขึ้นในปี 2020

อย่างไรก็ดี เส้นทางไม่ได้ราบรื่น วิศวกรโจว จวิ้น จากทีมโครงการเซี่ยงไฮ้ยอมรับว่าการก่อสร้างจริงซับซ้อนกว่าที่คาด ตั้งแต่การป้องกันน้ำและการกัดกร่อนด้วยการเคลือบผิวแคปซูลเหล็กด้วยสารผสมเกล็ดแก้ว ไปจนถึงระบบเข้าถึงเพื่อบำรุงรักษาที่ออกแบบให้มีลิฟต์เชื่อมส่วนหลักใต้น้ำกับโครงสร้างส่วนหนึ่งที่โผล่เหนือผิวน้ำ ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย สายสื่อสารจากกลางทะเลสู่ฝั่งก็ต้องวางอย่างพิถีพิถันกว่าศูนย์ข้อมูลบนบก ขณะที่นักวิจัยยังเตือนถึงจุดอ่อนด้านความมั่นคงปลอดภัยรูปแบบใหม่ เช่น ความเสี่ยงจากการรบกวนด้วยคลื่นเสียงผ่านน้ำ

อีกมิติสำคัญคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ผู้เชี่ยวชาญอย่างแอนดรูว์ วอนต์ นักนิเวศวิทยาทางทะเลจากมหาวิทยาลัยฮัลล์ ระบุว่าความร้อนที่ปล่อยสู่มวลน้ำอาจดึงดูดสิ่งมีชีวิตบางชนิดและผลักดันบางชนิดให้ออกห่าง ซึ่งยังเป็น “ตัวแปรไม่แน่นอน” เพราะงานวิจัยที่มีอยู่ยังไม่มากพอ ฝั่งไฮแลนเดอร์อ้างการประเมินอิสระในปี 2020 จากไซต์ทดสอบใกล้จูไห่ว่าค่าอุณหภูมิน้ำโดยรอบอยู่ต่ำกว่าขีดจำกัดที่ยอมรับได้ แต่เมื่อโครงการขยายขนาดกำลังไฟ ความร้อนสะสมย่อมเพิ่มขึ้นตาม นักวิชาการอย่างเส้าหลุย เริน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ จึงชี้ว่าต้องศึกษาผลกระทบทางความร้อนอย่างละเอียดเป็นพิเศษ หากจะเดินหน้าถึงระดับเมกะวัตต์

ปัจจุบันจีนอัดฉีดแรงจูงใจให้การทดลองเดินหน้า โดยโครงการคล้ายกันที่ไหหลำในปี 2022 ของไฮแลนเดอร์ได้รับเงินสนับสนุนราว 40 ล้านหยวนและยังคงเดินเครื่องอยู่ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าโครงงานใต้น้ำกำลังอยู่ในช่วงพิสูจน์ความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีมากกว่าการขยายเชิงมวล และไม่น่าจะแทนที่ศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมทั้งหมดในเร็ววัน แต่มีศักยภาพจะเสริมเป็นโครงสร้างเฉพาะทางสำหรับเวิร์กโหลดบางประเภท โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งที่มีแหล่งพลังงานหมุนเวียนพร้อมใช้และข้อจำกัดด้านที่ดินสูง หากโครงการหน้าน้ำลึกนอกเซี่ยงไฮ้พิสูจน์ได้ว่าคุ้มค่าทั้งเชิงพลังงาน วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม ก็อาจกลายเป็นชิ้นส่วนใหม่ของระบบคลาวด์ยุค AI ที่ช่วยถ่วงดุลพลังงานและความร้อนที่กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของอุตสาหกรรมทั่วโลก