รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ตอบโต้สหรัฐฯ หลังถูกกล่าวหาว่ากำลังสร้างความตื่นตระหนกในตลาดโลกจากมาตรการ ควบคุมการส่งออก “แร่หายาก” (Rare Earths) โดยกระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามหลักสากล และปฏิเสธคำกล่าวของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) ที่ถูกมองว่า “บิดเบือนและกล่าวหาอย่างเกินจริง”

เหอ หยงเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า “การตีความของสหรัฐฯ เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและพยายามจงใจสร้างความเข้าใจผิดในตลาดโลก” พร้อมย้ำว่าการอนุมัติใบอนุญาตส่งออกแร่หายากของจีนจะยังคงดำเนินไปตามปกติ หากผู้ขอนำไปใช้ในกิจการพลเรือนและเป็นไปตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสื่อทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน People’s Daily ออกเอกสาร “โต้แย้ง 7 ประเด็น” เพื่อตอบกลับข้อกล่าวหาจากฝั่งวอชิงตัน โดยเฉพาะกรณีที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แนะนำให้จีนยกเลิกมาตรการควบคุม เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้า 100% ต่อสินค้าจีน ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศใช้ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้

จีนชี้แจงว่า มาตรการใหม่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการค้าของผู้ผลิตต่างประเทศที่ใช้วัตถุดิบจากจีน โดยยืนยันว่า “ผู้ผลิตสินค้าทั่วโลกที่มีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีนในปริมาณน้อย ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมเพื่อส่งออก” เพื่อสยบความกังวลของนักวิเคราะห์ที่เกรงว่ามาตรการนี้อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

ในฝั่งสหรัฐฯ ตัวแทนการค้าระดับสูง เจมีสัน เกรียร์ (Jamieson Greer) เรียกนโยบายของจีนว่าเป็น “ความพยายามยึดอำนาจห่วงโซ่อุปทานโลก” ขณะที่เบสเซนต์ระบุว่ายังมีโอกาสที่จะขยาย “ข้อตกลงพักรบภาษี 90 วัน” ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทุของสงครามการค้ารอบใหม่

ความตึงเครียดล่าสุดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเริ่มมีความหวังว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศจะทรงตัว หลังจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อวันที่ 19 กันยายน ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจากการบรรลุข้อตกลงเรื่อง TikTok ในการประชุมที่มาดริด

จีนชี้ว่าการตอบโต้ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ขยาย “บัญชีดำ (Entity List)” เมื่อปลายเดือนกันยายน โดยเพิ่มชื่อบริษัทจีนและต่างชาติที่ถูกกล่าวหาว่าใช้บริษัทลูกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุปกรณ์ผลิตชิป

People’s Daily ระบุว่า สหรัฐฯ เองก็มีรายการควบคุมสินค้าส่งออกมากกว่า 3,000 รายการ ซึ่งมากกว่าของจีนที่มีเพียง 900 รายการ และย้ำว่าการใช้มาตรการลักษณะนี้เป็น “แนวปฏิบัติสากล” ที่หลายประเทศใช้อยู่แล้วตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950

ความตึงเครียดยังลุกลามไปถึงระดับบุคคล เมื่อเบสเซนต์กล่าวพาดพิง หลี่ เฉิงกัง หัวหน้าทีมเจรจาการค้าของจีน ว่า “อารมณ์ไม่มั่นคงและไม่ให้เกียรติ” โดยอ้างว่าอีกฝ่ายขู่จะ “สร้างความโกลาหลในระบบการค้าโลก” หากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือ ทั้งนี้ จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่ากำลัง “เป็นฝ่ายริเริ่มในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์กับสหรัฐฯ”

แม้จะมีแรงปะทะทางวาทกรรม แต่แหล่งข่าวในทำเนียบขาวระบุว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม ก่อนที่ทั้งสองผู้นำจะพบกันอย่างเป็นทางการที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น “จุดยึดเสถียรภาพ” สุดท้ายของตลาดโลกในขณะนี้