ราคาทองคำพุ่งทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในสหรัฐฯ หลังหน่วยงานของรัฐบาลกลางเริ่มปิดทำการตั้งแต่วันพุธที่ 1 ตุลาคม 2568 เพราะมาตรการงบประมาณชั่วคราวในสภาคองเกรสสะดุด ส่งผลให้นักลงทุนเร่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยและกังวลถึงความล่าช้าของข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปลายสัปดาห์

ข้อมูลการซื้อขายระบุว่าทองคำกระชากขึ้นไปแตะราว 3,895.38 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า นับเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่สหรัฐฯ ต้องเปิด “คู่มือปิดหน่วยงานอย่างเป็นระบบ” ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอน และตลาดเตรียมใจรับความผันผวนที่สูงขึ้นหากสถิติทางเศรษฐกิจถูกเลื่อนประกาศ

กระแสแรงซื้อในตลาดโลหะมีค่ามิได้มาจากความเสี่ยงเชิงการเมืองเพียงอย่างเดียว ตลอดปีนี้ราคาทองคำพุ่งแล้วกว่า 46% แตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2522 โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก การสะสมทองคำของธนาคารกลาง หลายประเทศ และ กระแสเงินไหลเข้ากองทุนทองคำแบบ ETF ที่คึกคัก โดยเฉพาะเดือนกันยายนที่เม็ดเงินไหลเข้าสูงสุดในรอบสามปี สอดรับกับวัฏจักรดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายลงอีกครั้ง

ในมุมมองด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน บรรยากาศ “ระแวงความเป็นอิสระของธนาคารกลาง” ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ทองคำในฐานะที่พึ่งช่วงวิกฤต หลังศาลสูงสุดมีคำสั่งให้ ลิซา คุก กรรมการเฟดยังคงปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการต่อสู้คดี ขัดแผนการกดดันธนาคารกลางของฝ่ายการเมือง ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์โจมตี เจอโรม พาวเวลล์ ว่าเป็น “ตัวขัดขวาง” ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศความไม่แน่นอนที่นักลงทุนไม่ชอบ

ช่วงค่ำตามเวลา นิวยอร์ก ราคาทองคำสปอตขยับขึ้นอีกราว 0.1% มาที่ 3,864.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์โดยรวมแทบไม่เปลี่ยนแปลง ด้านตลาดล่วงหน้า ปิดทำสถิติสูงสุด แถว 3,897.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาสปอตล่าสุดขยับอยู่ราว 3,866.66 ดอลลาร์ ส่งผลให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีสูงเกือบ 50% แม้โลหะกลุ่มแพลทินัมและแพลเลเดียมจะอ่อนตัวลงก็ตาม

แรงซื้อไม่ได้เกิดกับทองคำเพียงอย่างเดียว โลหะเงิน ทะยานกว่า 2.5% แตะบริเวณ 47.8290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ห่างจากจุดสูงสุดตลอดกาลไม่ถึง 4% และบวกสะสมทั้งปีมากกว่า 60% ปัจจัยหลักมาจากธีมมหภาคเดียวกับทองคำผสมกับภาวะตึงตัวด้านอุปทานที่สะสมมาหลายปี

ฝั่งมุมมองนักกลยุทธ์ ตลาดยังมอง “ไปต่อได้” หลายสำนักชี้ว่าการปิดทำการของรัฐบาลอเมริกันเป็นชนวนล่าสุดที่เร่งราคาให้พุ่ง แต่รากเหง้าคือชุดความเสี่ยงที่ทับซ้อน—ตั้งแต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป ไปจนถึงมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่—ซึ่งทำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักสินทรัพย์ที่ไม่ขึ้นกับคู่สัญญาอย่างทองคำ

บางรายถึงขั้นประเมินว่า แนวต้าน 4,000 ดอลลาร์ อาจถูกทดสอบเร็วกว่าที่คาด นักวิเคราะห์ที่ติดตามตลาดมาอย่างต่อเนื่องให้เหตุผลว่า เดิมทีแรงขับเคลื่อนราคามาจาก การซื้อของธนาคารกลาง เป็นหลัก แต่ตั้งแต่ต้นปีนี้ นักลงทุนสถาบันและรายย่อยกลับเข้ามาร่วมวง ช่วยเร่งโมเมนตัมให้รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สรุปภาพรวม ขณะที่สหรัฐฯ เดินเข้าสู่โหมดปิดหน่วยงานและความไม่แน่นอนขยายวง ทองคำยังคงยืนหนึ่งในฐานะที่พักเงินของตลาดโลก ทั้งแรงซื้อจากภาคสถาบัน การผ่อนคลายนโยบายการเงิน และแรงเสี่ยงเชิงการเมือง–เศรษฐกิจ กำลังผลักให้ราคาขึ้นยืนโซนสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมี 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นเป้าหมายเชิงจิตวิทยาถัดไปที่ผู้เล่นทั่วโลกกำลังจับตา