การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนในกรุงมาดริดยังคงเต็มไปด้วยแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ โดยครั้งนี้เป็นการพบกันรอบที่สี่ในรอบสี่เดือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ทั้งสกอตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน พร้อมด้วยทีมเจรจาการค้าฝ่ายปักกิ่ง ความพยายามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์การค้าของสองประเทศแตกหักลงจากผลของภาษีศุลกากรที่รัฐบาลทรัมป์กดดันอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในประเด็นร้อนคือเรื่อง TikTok ซึ่งใกล้ถึงเส้นตายวันที่ 17 กันยายนที่ ByteDance เจ้าของจากจีนจะต้องขายกิจการในสหรัฐฯ มิเช่นนั้นอาจถูกปิดการให้บริการ แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะได้ข้อยุติ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการขยายเวลาออกไปอีก ซึ่งจะเป็นการเลื่อนเส้นตายครั้งที่สี่นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ามาบริหาร ทั้งนี้ การหยิบยก TikTok เข้ามาเป็นวาระในการประชุมรอบนี้ถูกมองว่าเป็นการเปิดช่องให้ทำได้อย่างมีน้ำหนักทางการเมือง แม้อาจสร้างความไม่พอใจแก่ทั้งสองพรรคในสภาคองเกรสที่ต้องการทางออกที่ชัดเจนก็ตาม

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ใช้เวทีนี้เรียกร้องให้กลุ่ม G7 และพันธมิตรยุโรปจัดเก็บภาษีต่อจีนและอินเดีย เพื่อกดดันให้หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แนวทางดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการพยายามตัดรายได้หลักของเครมลินเพื่อลดศักยภาพในการทำสงครามกับยูเครน แม้จีนออกมาปฏิเสธโดยยืนยันจะปกป้องสิทธิทางการค้าและมองว่านี่คือการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของสหรัฐฯ ขณะที่อินเดียถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มแล้วถึง 25% จากการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย แต่จีนยังไม่ถูกบังคับใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน

สำหรับสเปน การได้เป็นเจ้าภาพครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการยกระดับสถานะทางการทูต รัฐบาลของเปโดร ซานเชซ ต้องการวางบทบาทมาดริดให้เป็นศูนย์กลางการเจรจาสำคัญระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณีอิสราเอล–ปาเลสไตน์หรือการค้าระหว่างมหาอำนาจ ภาพการต้อนรับอย่างเป็นทางการที่พระราชวังซานตาครูซจึงเป็นสัญลักษณ์การเสริมสร้างอิทธิพลบนเวทีระหว่างประเทศ

แม้การพูดคุยรอบนี้ยังไม่มีแนวโน้มจะได้ข้อตกลงที่ชัดเจน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการปูทางไปสู่การพบปะระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิงในที่ประชุม APEC ที่กรุงโซลปลายตุลาคม ซึ่งอาจเป็นจังหวะที่ทั้งสองฝ่ายใช้เปิดดีลใหญ่ ทั้งการแก้ปัญหาความมั่นคงเกี่ยวกับ TikTok การผ่อนปรนมาตรการภาษีบางส่วน และการซื้อขายสินค้าเกษตร ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจของจีนยังคงเป็นโจทย์ระยะยาวที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้ข้อยุติจริง

ที่มา : reuters