รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าแผนการครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เพื่อขยายอิทธิพลทางทะเลของสหรัฐฯ โดยมุ่งลดบทบาทจีนในเครือข่ายท่าเรือสำคัญทั่วโลก และดึงท่าเรือยุทธศาสตร์กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของชาติตะวันตก แหล่งข่าวชี้ว่าความเคลื่อนไหวนี้เกิดจากความกังวลว่า หากเกิดความขัดแย้ง สหรัฐฯ จะเสียเปรียบจีนทั้งในด้านการขนส่งและกำลังทางเรือ
หนึ่งในแนวทางที่ถูกพิจารณาคือการสนับสนุนให้บริษัทเอกชนสหรัฐฯ หรือพันธมิตรเข้าซื้อกิจการท่าเรือที่จีนถือหุ้น ตัวอย่างเช่น แผนของ BlackRock ที่ยื่นซื้อสินทรัพย์ท่าเรือของ CK Hutchison ใน 23 ประเทศ รวมถึงเขตคลองปานามา ซึ่งถูกมองว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดี
จีนถือครองหรือเช่าท่าเรือกว่า 129 แห่งทั่วโลก ผ่านบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง COSCO, China Merchants และ SIPG ซึ่งรวมถึงท่าเรือไพรีอัสในกรีซ และท่าเรือบาเลนเซีย-บิลเบาในสเปน ทำให้วอชิงตันวิตกว่าสินทรัพย์เหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อสอดแนมหรือสร้างความได้เปรียบทางทหารในยามวิกฤต กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำ COSCO แล้ว โดยระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังจับตาการลงทุนของจีนในแคริบเบียน โดยเฉพาะท่าเรือคิงส์ตันของจาเมกา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงด้านความมั่นคงสูงสุดในภูมิภาค ขณะเดียวกัน การลงทุนของจีนในออสเตรเลียก็เผชิญแรงกดดัน เมื่อรัฐบาลออสเตรเลียประกาศชัดเจนว่าต้องการให้ท่าเรือดาร์วินกลับมาอยู่ในการถือครองท้องถิ่น
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารฟื้นฟูอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ ผลักดันการจัดตั้งทะเบียนเรือใหม่ในหมู่เกาะเวอร์จิน และเตรียมเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากเรือที่สร้างหรือจดทะเบียนในจีน มาตรการเหล่านี้สะท้อนความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะไม่ยอมปล่อยให้จีนครอบงำเส้นทางเดินเรือโลก โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบยิบรอลตาร์และเส้นทางขนส่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
นักวิเคราะห์มองว่า ในระยะสั้นถึงกลาง สหรัฐฯ จะยังคงสร้างพันธมิตรและใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อจำกัดอิทธิพลของจีนในท่าเรือหลักทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสองมหาอำนาจที่กำลังทวีความตึงเครียดมากขึ้นทุกวัน