ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์กำลังกลับมาสู่ความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Qualcomm หลังจากห่างหายไปกว่า 4 ปี โดยมีรายงานจากเกาหลีใต้ระบุว่า Samsung Foundry ได้เริ่มส่งมอบชิปต้นแบบรุ่นใหม่ให้กับ Qualcomm แล้ว ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลรุ่น Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 2 นาโนเมตร (SF2) ของซัมซุงเอง ถือเป็นสัญญาณบวกชัดเจนว่าความร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อาจกลับมาอีกครั้งในอนาคตอันใกล้
แหล่งข่าวเผยว่าชิป Snapdragon 8 Elite Gen 5 เป็นหน่วยประมวลผลระดับพรีเมียมที่ Qualcomm เตรียมใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงปี 2026 โดยชิปรุ่นนี้เป็นครั้งแรกที่ซัมซุงใช้กระบวนการผลิตขนาด 2 นาโนเมตร ซึ่งมีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงขึ้นกว่ารุ่น 3 นาโนเมตร และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม โครงสร้างภายในใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ที่ช่วยควบคุมกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่าแบบ FinFET ส่งผลให้สามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผล ควบคุมอุณหภูมิ และลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซัมซุงได้ทำการทดสอบกระบวนการผลิตนี้มาก่อนหน้าแล้วผ่านโครงการพัฒนา Exynos 2600 ซึ่งช่วยให้กระบวนการ 2 นาโนเมตรของบริษัทเริ่มเข้าสู่ช่วงที่อัตราการผลิตมีความเสถียรมากขึ้น การส่งมอบชิปตัวอย่างให้ Qualcomm จึงสะท้อนให้เห็นว่าซัมซุงเชื่อมั่นในคุณภาพการผลิตของตนเองมากพอที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดระดับไฮเอนด์ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม Qualcomm ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนในการทดสอบด้านพลังงาน ความร้อน ประสิทธิภาพ และอัตราการผลิต ก่อนจะพิจารณาสั่งผลิตจริง ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
ขณะเดียวกัน Qualcomm ก็ได้เปิดตัวชิป Snapdragon 8 Gen 5 รุ่นใหม่ในปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยรุ่นมาตรฐานยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิต 3 นาโนเมตรของ TSMC แต่รายงานล่าสุดชี้ว่ารุ่นพิเศษที่ใช้ในสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy ภายใต้ชื่อ “Snapdragon 8 Gen 5 for Galaxy” จะได้รับการผลิตโดยซัมซุงเอง และคาดว่าจะใช้เทคโนโลยีระดับ 2 นาโนเมตร GAA เช่นกัน นั่นหมายความว่าซัมซุงกำลังกลับมามีบทบาทอีกครั้งในฐานะพันธมิตรการผลิตหลักของ Qualcomm หลังจากเคยสูญเสียตำแหน่งให้ TSMC ไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้จะมีข่าวลือว่า Galaxy S26 จะหันกลับมาใช้ Snapdragon เต็มรูปแบบ แต่แหล่งข่าวจากเกาหลีกลับเผยว่า Qualcomm อาจเก็บชิปรุ่น 8 Gen 5 for Galaxy ไว้ใช้กับสมาร์ทโฟนจอพับรุ่นปี 2026 อย่าง Galaxy Z Fold8 และ Z Flip8 ก่อน ส่วนรุ่น S26 จะยังคงใช้ชิป Exynos 2600 ที่ซัมซุงพัฒนาเอง การตัดสินใจในลักษณะนี้ช่วยให้ทั้งธุรกิจสมาร์ทโฟนและธุรกิจฟาวดรีของซัมซุงเดินไปในทิศทางเดียวกัน เสริมกันทั้งด้านรายได้และภาพลักษณ์ทางเทคโนโลยี
การส่งมอบชิปต้นแบบในครั้งนี้ยังถูกมองว่าเป็นสัญญาณของกลยุทธ์แบบ “Dual Vendor” ที่ Qualcomm อาจหันมาใช้ในอนาคต โดยแบ่งงานผลิตระหว่าง TSMC และซัมซุงเพื่อลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนและต้นทุนการผลิต ปัจจุบัน Qualcomm ยังคงพึ่งพา TSMC อย่างมาก เนื่องจากขึ้นชื่อในด้านความเสถียรและอัตราการผลิตสูง แต่ในช่วงหลัง TSMC เริ่มประสบปัญหาด้าน yield rate ของกระบวนการ 3 นาโนเมตร และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ รวมถึง Qualcomm เริ่มมองหาทางเลือกสำรองที่คุ้มค่ากว่า ซัมซุงจึงถือโอกาสนี้ผลักดันข้อเสนอที่มีจุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ราคาแข่งขันได้ และความยืดหยุ่นในการผลิต
นอกจากนี้ ซัมซุงยังวางเป้าหมายชัดเจนในการท้าทายอำนาจผูกขาดของ TSMC โดยการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี 2 นาโนเมตรเพื่อให้สามารถผลิตได้ก่อนคู่แข่ง พร้อมขยายฐานลูกค้าในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครือข่ายการผลิตที่กระจายตัวมากขึ้น และลดความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชีย การกลับมาร่วมงานกับ Qualcomm ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่และทรงอิทธิพล จึงอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้ซัมซุงกลับมาครองความเชื่อมั่นในตลาดฟาวดรีระดับโลกอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญในวงการเซมิคอนดักเตอร์มองว่าการที่ซัมซุงสามารถจัดส่งชิปตัวอย่างได้ตามกำหนด เป็นสัญญาณว่าบริษัทเริ่มฟื้นฟูความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและการบริหารการผลิตได้แล้ว หาก Qualcomm ประทับใจผลการทดสอบและตัดสินใจเซ็นสัญญาผลิตร่วมจริง จะทำให้ซัมซุงกลับมาท้าทาย TSMC ได้อย่างเต็มตัวในตลาดชิปประสิทธิภาพสูงระดับพรีเมียม ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจทำให้การแข่งขันในเทคโนโลยีระดับ 2 นาโนเมตรทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ที่มา : newdaily