การดูแลแบตเตอรี่อาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่เบื้องหลังกลับมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ระหว่างการชาร์จแล้วใช้งานอุปกรณ์ทุกวัน กับการชาร์จทุกวันแต่แทบไม่ใช้งาน แบบไหนกันแน่ที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วกว่ากัน หลายคนอาจคิดว่าการใช้งานหนักคือสาเหตุหลักของการเสื่อม แต่ในความเป็นจริง แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนมีปัจจัยทางเคมีที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก และพฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่ส่งผล กลับทำร้ายแบตได้หนักกว่าการใช้งานตามปกติด้วยซ้ำ

แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนเสื่อมลงจากหลายสาเหตุ ทั้งจำนวนรอบการชาร์จ ความร้อนที่เกิดจากการทำงานหรือการชาร์จไฟ และการค้างอยู่ในระดับพลังงานสูงเป็นเวลานาน สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ แบตเตอรี่ไม่ชอบอยู่ที่ระดับ 90–100% นานเกินไป แม้ไม่มีการใช้งานใด ๆ ก็ตาม เพราะสถานะพลังงานที่สูงตลอดเวลาจะสร้างความเครียดทางเคมี ทำให้โครงสร้างแบตค่อย ๆ เสื่อม แม้ไม่ได้ผ่านรอบชาร์จจริงจังก็ตาม

เมื่อมองไปที่พฤติกรรมการชาร์จแล้วใช้งานทุกวัน เช่น ใช้จนแบตลดแล้วชาร์จ ใช้แล้วชาร์จใหม่ลักษณะนี้ถูกต้องตามธรรมชาติของแบตที่สุด การเสื่อมจะเกิดขึ้นตามจำนวนรอบการชาร์จ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และระบบจัดการพลังงานของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ ก็ช่วยลดความร้อนและควบคุมกระแสไฟ ทำให้การเสื่อมเกิดช้าลงอีกระดับ ตราบใดที่ไม่ใช้งานหนักจนทำให้เครื่องร้อนสูง แบตเตอรี่ก็เสื่อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีอายุใช้งานที่ยืนยาวตามมาตรฐาน

แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือพฤติกรรมการชาร์จทุกวันทั้งที่แทบไม่ใช้งาน การปล่อยให้แบตอยู่ในระดับสูงตลอด เช่น ค้างไว้ที่ 90–100% หรือเสียบสายชาร์จทิ้งไว้โดยไม่แตะอุปกรณ์ สิ่งนี้ทำให้แบตเสื่อมเร็วกว่าการใช้งานปกติอย่างมาก เพราะนอกจากจะค้างอยู่ในสถานะพลังงานที่ไม่เหมาะสมแล้ว ระบบชาร์จยังมีการเติมไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอเมื่อแบตลดลงเพียง 1–2% กระบวนการเติมประจุเล็กน้อยเหล่านี้สร้างความร้อนสะสม ทำให้แบตค่อย ๆ เสื่อมอย่างเงียบ ๆ แม้ไม่ได้ใช้งานเลยก็ตาม จึงไม่แปลกที่ผู้ใช้บางคนเก็บอุปกรณ์ไว้เฉย ๆ แต่แบตกลับเสื่อมเร็วกว่าคนที่ใช้งานเป็นประจำเสียอีก

ดังนั้น หากต้องสรุปให้ชัดเจนที่สุด ระหว่างสองพฤติกรรมนี้ การชาร์จทุกวันแต่ไม่ใช้งานคือสิ่งที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วกว่ามาก และเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ทันระวัง เพราะคิดว่าไม่ใช้งานย่อมไม่เสื่อม แต่ความจริงแบตลิเธียม-ไอออนไม่ชอบการค้างอยู่ที่ไฟเต็มเป็นเวลานาน ในทางกลับกัน การชาร์จแล้วใช้งานทุกวันถือเป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติของแบตเตอรี่ และถึงแม้จะมีรอบชาร์จเพิ่มขึ้น แต่กลับเสื่อมช้ากว่าการปล่อยให้แบตเต็มอยู่ตลอดเวลา

ผู้ใช้ที่ต้องการยืดอายุแบตให้นานที่สุดควรรักษาระดับแบตให้อยู่ในช่วงประมาณ 20–80% หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักในขณะชาร์จ ไม่ชาร์จค้างคืนบ่อยเกินไป เปิดใช้ฟีเจอร์ชาร์จแบบออปติไมซ์ของแต่ละแบรนด์ และหลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูง เพราะความร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วแบบถาวร หากเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ ก็จะสามารถใช้อุปกรณ์ให้ยาวนานขึ้นได้อย่างเห็นผล ทั้งในด้านความจุ ความเสถียร และอายุการใช้งานโดยรวม