เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกรมศิลปากร เรื่องการขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียน "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" เป็นเขตที่ดินโบราณสถาน เพื่อคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยประกาศดังกล่าวมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้

การขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การใช้สิทธิอำนาจตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งระบุให้กรมศิลปากรมีอำนาจในการประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมให้เป็นโบราณสถาน โดยอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงทุ่งพญาไท และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตที่ดินโบราณสถานพร้อมทั้งกำหนดขอบเขตพื้นที่โบราณสถานที่ครอบคลุมประมาณ 3 ไร่ 31 ตารางวา

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะในการสงครามกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญและความสามัคคีของคนไทยในการปกป้องอธิปไตยของชาติ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2485 โดยสถาปนิกและวิศวกรชื่อดัง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งทั้งในด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

การขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นโบราณสถานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าของอนุสาวรีย์แห่งนี้ให้คงอยู่ในสภาพที่ดี เพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถเรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการปกป้องอธิปไตยของชาติไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการศึกษาและความภาคภูมิใจในมรดกทางประวัติศาสตร์ของประเทศ

กรมศิลปากรยังได้เผยแผนผังที่แนบท้ายประกาศ เพื่อแสดงรายละเอียดขอบเขตพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ 31 ตารางวา โดยพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม และไม่สามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนหรือทำลายได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร

การขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นเขตที่ดินโบราณสถานจะช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของอนุสาวรีย์ในฐานะมรดกชาติ และจะช่วยให้อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์และดูแลรักษาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถคงอยู่เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะและความเป็นเอกภาพของชาติไทยไปยังรุ่นต่อไป