ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนระดับกลางถึงล่าง (Budget Phone) มักเลือกใช้หน้าจอแบบ IPS LCD เพราะมีต้นทุนการผลิตไม่สูง ให้สีสันค่อนข้างแม่นยำ และมีมุมมองกว้าง แต่ข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนสัมผัสได้คือ ความสว่างที่ยังสู้แดดจ้าได้ไม่ดีนัก สีดำไม่ดำสนิท รวมถึงอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ยังเทียบชั้นกับจอ AMOLED หรือ MiniLED ไม่ได้
ล่าสุด มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่าย รวมถึงผู้ใช้งานในโซเชียลที่เริ่มตั้งคำถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่มือถือราคาประหยัดจะเปลี่ยนมาใช้ MiniLED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มถูกนำมาใช้ในแล็ปท็อปและแท็บเล็ตระดับพรีเมียม โดย MiniLED ใช้หลอดไฟ LED ขนาดเล็กจำนวนมหาศาลมาเป็นแหล่งกำเนิดแสง ทำให้สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดกว่า IPS หลายเท่า
ทำไม MiniLED ถึงน่าสนใจกว่า IPS?
- สีดำที่ลึกกว่า – MiniLED สามารถควบคุมการหรี่ไฟในแต่ละโซนได้ละเอียด ทำให้สีดำใกล้เคียงกับ AMOLED มากขึ้น
- ความสว่างสูงกว่า – รองรับการใช้งานกลางแจ้งได้ดีกว่า IPS ชัดเจน
- รองรับ HDR ได้เต็มที่ – แสดงรายละเอียดของเงามืดและไฮไลต์ได้ดีกว่า
- อายุการใช้งานนานกว่า OLED – เนื่องจากยังคงเป็นเทคโนโลยี LCD ที่ไม่เจอปัญหา burn-in
อุปสรรคที่ยังมีอยู่
แม้ MiniLED จะเหนือกว่า IPS แต่สิ่งที่ทำให้มือถือราคาประหยัดยังไม่เปลี่ยนมาใช้คือ ต้นทุนการผลิต ที่ยังสูงกว่า IPS อยู่พอสมควร ขณะเดียวกัน AMOLED ก็กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมในมือถือระดับกลาง เพราะให้คุณภาพที่ดีและราคาค่อย ๆ ถูกลงเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ผลิตต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการใช้ AMOLED กับการรอให้ MiniLED มีราคาลดลง
อนาคตของ Budget Phone
หากผู้ผลิตสามารถปรับต้นทุนการผลิต MiniLED ให้ถูกลงได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า มีโอกาสสูงที่เราจะได้เห็นมือถือราคาประหยัดหันมาใช้จอแบบนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มมือถือที่เน้นความบันเทิง เช่น การดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม ที่ผู้ใช้ต้องการคุณภาพภาพและสีสันที่ดีกว่า IPS แบบเดิม
ในตอนนี้ คำถามที่หลายคนยังเฝ้ารอคำตอบคือ “ใครจะเป็นเจ้าแรกที่นำ MiniLED มาลงในมือถือราคาประหยัด?” เพราะแบรนด์ที่ก้าวนำในจุดนี้ได้ก่อน อาจสร้างความแตกต่างจนกลายเป็นจุดขายสำคัญในตลาดสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้น