ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงในวันจันทร์ (10 มีนาคม) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาษีน้ำมันของสหรัฐฯ และปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความเสี่ยงด้านการคว่ำบาตรอิหร่านจะช่วยจำกัดการลดลงของราคา โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 71 เซ็นต์ หรือ 1% มาอยู่ที่ 69.65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ลดลง 65 เซ็นต์ หรือ 1% มาอยู่ที่ 66.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในทิศทางขาลง โดย WTI ปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาการลดลงที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ส่วนเบรนท์ปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ด้านนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานทั่วโลก โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดและเลื่อนการเรียกเก็บภาษีน้ำมันจากแคนาดาและเม็กซิโก ขณะเดียวกันยังมีการเพิ่มภาษีสินค้าจีน ซึ่งทำให้จีนและแคนาดาตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีของตนเอง

นักวิเคราะห์มองว่าตลาดน้ำมันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษีศุลกากรที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอุปสงค์พลังงานในอนาคต รวมถึงแผนการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ โนวัค เปิดเผยว่า กลุ่มโอเปกพลัสมีแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนเมษายน แต่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนได้หากตลาดไม่มีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง สหรัฐฯ กำลังพิจารณาคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่ออิหร่านเพื่อลดการส่งออกน้ำมันของประเทศดังกล่าว และกดดันให้รัฐบาลเตหะรานจำกัดโครงการนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้แรงกดดัน

ตลาดยังคงรอคอยรายงานประจำเดือนจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก นักลงทุนยังคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเศรษฐกิจและมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศจะช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดพลังงานในช่วงต่อไป