แม้ว่า iPhone 17 Series จะเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานและยังคงอยู่ในกระแสของตลาดสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม แต่ดูเหมือนว่า Apple จะไม่หยุดอยู่แค่เพียงนั้น เพราะสายพานการผลิตของ iPhone รุ่นถัดไป หรือ iPhone 18 Series ได้เริ่มขยับตัวตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 แล้ว โดยข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข่าวในเกาหลีใต้ระบุว่า Apple กำลังเตรียมปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งสำคัญ ด้วยการเปลี่ยนผู้ผลิตเซนเซอร์กล้องจาก Sony มาเป็น Samsung ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมกล้องมือถือระดับโลก

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แต่เป็นผลจากการวางกลยุทธ์ระยะยาวของ Apple ที่ต้องการ “กระจายความเสี่ยง” จากการพึ่งพาผู้ผลิตเพียงรายเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Sony ที่แม้จะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์ภาพ แต่กลับประสบปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบสินค้าตั้งแต่ช่วงปี 2023 ถึง 2024 ซึ่งส่งผลต่อแผนการผลิต iPhone หลายรุ่นในช่วงเวลานั้น Apple จึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านคุณภาพ ความเสถียร และการควบคุมการผลิตได้มากขึ้น

หนึ่งในสัญญาณสำคัญที่ยืนยันแนวโน้มนี้มาจากบริษัท Doosan Tesna ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของเกาหลีใต้ ซึ่งได้ประกาศลงทุนกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,600 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อระบบทดสอบชิปและอุปกรณ์ขั้นสูงจากบริษัทระดับโลกอย่าง Advantest, Semes (บริษัทลูกของ Samsung Electronics) และ Japan Interaction โดยเงินลงทุนจำนวนมหาศาลนี้คิดเป็นถึง 21.77% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งถือเป็นการขยับครั้งใหญ่ในรอบหลายปี และมีการเชื่อมโยงโดยตรงกับโครงการผลิตเซนเซอร์กล้องของ Samsung ที่จะใช้ใน iPhone 18

รายงานระบุว่าการลงทุนของ Doosan Tesna มีความเกี่ยวข้องกับโครงการของ Samsung Electronics ที่กำลังขยายการผลิตเซนเซอร์กล้องในโรงงานเมือง ออสติน รัฐเท็กซัส (Austin, Texas) เพื่อรองรับการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับ Apple โดยเฉพาะ ซึ่งตรงกับทิศทางกลยุทธ์ “Made in USA” ของ Apple ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการผลิตภายในสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของชิปประมวลผล หน่วยความจำ และเซนเซอร์กล้อง เพื่อให้สามารถควบคุมห่วงโซ่อุปทานได้โดยตรง ลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมถึงลดการพึ่งพาผู้ผลิตจากญี่ปุ่นและจีนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองโลก

ในขณะเดียวกัน ฝั่งของ Samsung เองก็ถือเป็นพันธมิตรเชิงเทคนิคที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพสูงในการผลิตเซนเซอร์กล้องระดับพรีเมียม ด้วยประสบการณ์ในการพัฒนาเทคโนโลยี ISOCELL ที่ถูกนำไปใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของแบรนด์ใหญ่ทั่วโลก เช่น Galaxy S และ Xiaomi ทำให้ Samsung มีความพร้อมทั้งในด้านเทคนิคและกำลังการผลิต ซึ่ง Apple มองว่าเป็นโอกาสดีในการเปิดความร่วมมือเชิงอุตสาหกรรมที่ลึกซึ้งขึ้น

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า Samsung ได้เริ่มส่งมอบต้นแบบเซนเซอร์กล้องรุ่นใหม่ให้ Apple ทำการทดสอบภายในตั้งแต่ต้นปี 2025 โดยโฟกัสไปที่คุณภาพของภาพถ่าย ความเที่ยงตรงของสี การเก็บรายละเอียดในสภาวะแสงน้อย และความเร็วในการโฟกัสอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ Apple ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในรุ่น Pro และ Pro Max ที่ใช้กล้องหลายเลนส์และรองรับเทคโนโลยี AI Image Processing ขั้นสูง หากการทดสอบเหล่านี้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ Apple ตั้งไว้ Samsung จะได้รับการรับรองให้เป็น ผู้ผลิตเซนเซอร์กล้องรายใหญ่ลำดับที่สองของ Apple ต่อจาก Sony อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนขั้วซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ

นักวิเคราะห์จากเกาหลีใต้ให้ความเห็นว่าความร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานของ Apple เท่านั้น แต่ยังจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ Samsung อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในตลาดเซนเซอร์กล้องที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี อีกทั้งยังอาจเปิดประตูสู่การร่วมพัฒนาเทคโนโลยีด้านกล้องและการประมวลผลภาพในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

นอกจากนี้ กระแส “Made in USA” ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการดึงฐานการผลิตกลับประเทศผ่านนโยบายสนับสนุนด้านภาษีและเงินอุดหนุน ทำให้ Apple มีแรงจูงใจเพิ่มเติมในการย้ายการผลิตชิ้นส่วนสำคัญกลับมาภายในประเทศ การที่ Samsung ตั้งโรงงานผลิตชิปและเซนเซอร์ในเท็กซัสจึงถือเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงตัวในแผนยุทธศาสตร์นี้อย่างสมบูรณ์

หากทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ iPhone 18 Series ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 อาจกลายเป็นรุ่นแรกที่ใช้เซนเซอร์กล้องจาก Samsung อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ Apple สามารถควบคุมคุณภาพและกระบวนการผลิตได้ใกล้ชิดกว่าที่เคย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบหรือการล่าช้าในการจัดส่งชิ้นส่วนจากต่างประเทศ

ท้ายที่สุด การที่ Apple หันมาร่วมมือกับ Samsung ในการผลิตเซนเซอร์กล้อง ถือเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ “การผลิตอย่างยั่งยืนและกระจายความเสี่ยง” ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนของบริษัทเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลต่อทิศทางของทั้งอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนทั่วโลกในอีกหลายปีข้างหน้า เพราะเมื่อสองยักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยีจับมือกันในจุดที่เคยเป็นสนามแข่งขัน ก็ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างที่อาจทำให้มาตรฐานของกล้องมือถือในยุคต่อไปก้าวล้ำขึ้นไปอีกขั้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่มา : MacRumors