โซล, 4 ม.ค. – เกาหลีใต้กำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อการบังคับใช้หมายจับอดีตประธานาธิบดียุนซอกยอลถูกขัดขวางโดยหน่วยอารักขาประธานาธิบดีและกองทัพ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในโครงสร้างอำนาจของประเทศ และส่งผลให้การสอบสวนข้อกล่าวหาการใช้อำนาจในทางมิชอบต้องหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ยุนซอกยอลได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างกะทันหัน ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับประชาชน และจุดชนวนให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการสอบสวนข้อกล่าวหา โดยสำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ได้ออกหมายจับสำหรับยุนในข้อหาละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจในทางมิชอบ

การขัดขืนของหน่วยอารักขา

เมื่อวันที่ 3 มกราคม การจับกุมยุนถูกขัดขวางอย่างรุนแรง โดยหน่วยอารักขาประธานาธิบดีและกองกำลังทหารที่ตรึงกำลังอยู่ในบ้านพักของเขาในกรุงโซล การเผชิญหน้ากินเวลานานถึง 6 ชั่วโมง โดยไม่มีการประนีประนอมระหว่างฝ่ายสอบสวนและฝ่ายรักษาความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่อารักขาอ้างถึงเหตุผลด้านความปลอดภัยของประธานาธิบดี แม้ยุนจะพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ตาม ขณะที่ CIO ยืนยันว่าการขัดขืนดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน

การเรียกร้องความร่วมมือ

ในวันเสาร์ที่ผ่านมา CIO ได้ยื่นคำร้องต่อ ชเวซังมก รักษาการประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ใช้อำนาจสั่งการหน่วยอารักขาประธานาธิบดีให้ปฏิบัติตามกฎหมายและเปิดทางให้จับกุมยุนได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยังคงสงวนท่าทีและปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกัน ตำรวจได้ออกหมายเรียก ปาร์คชองจุน หัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดี ให้เข้ารับการสอบสวนในวันอังคารที่กำลังจะมาถึง

การประท้วงของประชาชน

เหตุการณ์นี้ทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม โดยเฉพาะบริเวณใกล้บ้านพักของยุนในกรุงโซล การประท้วงครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความไม่พอใจของประชาชนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ภาพถ่ายจากพื้นที่แสดงให้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พยายามควบคุมสถานการณ์

การเมืองและกฎหมายที่ท้าทาย

การประกาศกฎอัยการศึกของยุนในเดือนธันวาคมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาล และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ที่มีการออกหมายจับสำหรับประธานาธิบดีที่ยังดำรงตำแหน่ง

เหตุการณ์นี้ทำให้ความตึงเครียดระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การขัดขืนของหน่วยอารักขาและกองทัพอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระบบการเมืองของประเทศ

ความหวังและทางออก

นักวิเคราะห์มองว่าการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการตัดสินใจของชเวซังมกอาจเป็นตัวชี้ขาดถึงทิศทางในอนาคต

"นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของหลักการประชาธิปไตยและความเชื่อมั่นในระบบ" ตัวแทนจาก CIO กล่าว

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ท้าทายความสามารถของผู้นำเกาหลีใต้ในการรักษาเสถียรภาพ แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญต่อหลักนิติธรรมในประเทศที่กำลังเผชิญความเปราะบางทางการเมืองและสังคม