รัฐบาลประกาศปรับหลักเกณฑ์การเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคโลหิตวิทยาที่ต้องใช้ยาราคาแพง โดยกรมบัญชีกลางได้ขยายสิทธิให้ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะแพร่กระจายสามารถเข้ารับการรักษาโดยใช้ยา “Erlotinib” หรือ “Gefitinib” เป็นยาขนานแรกได้แล้ว สำหรับค่ารักษาที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

ยาทั้งสองชนิดเป็นยามุ่งเป้าที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 ที่มีการกลายพันธุ์แบบ EGFR ซึ่งเป็นชนิดการกลายพันธุ์ที่พบมากในผู้ป่วยชาวไทย โดยผลการรักษาชี้ว่าสามารถควบคุมโรคได้นานประมาณ 9 เดือนถึง 1 ปี ก่อนที่ผู้ป่วยจะต้องเริ่มการทำเคมีบำบัด ทั้งยังช่วยลดความจำเป็นในการใช้วิธีรักษาที่มีผลข้างเคียงสูงในช่วงแรก

ตามหลักเกณฑ์ใหม่ ผู้ป่วยกลุ่ม Non-small cell lung cancer ที่แพร่กระจายและมี EGFR mutation สามารถใช้ยา Erlotinib เป็นยาหลัก หากมีข้อจำกัดทางการแพทย์หรือเกิดผลข้างเคียงรุนแรง สามารถเปลี่ยนไปใช้ยา Gefitinib แทนได้ โดยกำหนดวงเงินเบิกจ่ายตามปริมาณยาที่จำเป็นในแต่ละเดือนในช่วง 3 เดือนแรก และขยายเป็นเบิกได้ครั้งละ 3 เดือนตั้งแต่เดือนที่ 4 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่องและลดภาระการเดินทางมารักษา

มะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมาที่มีการกลายพันธุ์ EGFR พบได้ในคนไทยประมาณ 50% ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ เมื่อได้รับการวินิจฉัย ผู้ป่วยสามารถเข้ารับยามุ่งเป้า Erlotinib หรือ Gefitinib ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ

ยามุ่งเป้าทั้งสองรายการช่วยชะลอการลุกลามของโรค ลดขนาดก้อนมะเร็ง และยืดอายุผู้ป่วยให้ยาวนานขึ้น แม้ไม่ใช่การรักษาที่ทำให้หายขาด แต่ถือเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอาจมีชีวิตอยู่ราว 3 เดือน หากไม่ได้รับการรักษา ขณะที่การใช้ยามุ่งเป้าช่วยให้ผู้ป่วยจำนวนมากควบคุมโรคได้นานถึง 9–12 เดือน และหากเกิดการดื้อยา ยังสามารถเปลี่ยนไปใช้คีโมหรือยามุ่งเป้าตัวอื่นเพื่อยืดเวลาการควบคุมโรคออกไปได้อีกหลายเดือนถึงหลายปี