Honda Motor บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองของญี่ปุ่น ประกาศว่าโรงงานผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือจะเริ่ม กลับมาเดินสายการผลิตตามปกติตั้งแต่วันจันทร์นี้ หลังได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิป Nexperia ที่ทำให้โรงงานหลายแห่งต้องปรับลดหรือหยุดการผลิตชั่วคราว

ปัญหานี้ส่งผลต่อโรงงานของ Honda หลายแห่ง โดยเฉพาะโรงงานในเม็กซิโกที่หยุดการผลิตตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ขณะที่โรงงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาถูกปรับลดกำลังการผลิตตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม การหยุดชะงักนี้เกิดจากความล่าช้าในการจัดส่งชิป Nexperia ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ ทั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบความปลอดภัย และระบบเชื่อมต่อดิจิทัล

โฆษกของ Honda ระบุว่า บริษัทสามารถ จัดหาชิปบางส่วนได้แล้ว ผ่านการใช้ชิปหรือส่วนประกอบทางเลือก ทำให้มีความมั่นใจว่าจะสามารถกลับมาเดินสายการผลิตตามปกติได้ในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม โฆษกยังเตือนว่าแผนการกลับมาดำเนินงานยังมีความไม่แน่นอน หากซัพพลายชิปยังคงเปลี่ยนแปลง

การหยุดชะงักของ Honda เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่สะท้อนปัญหาการขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา การระบาดของโควิด-19 และปัญหาห่วงโซ่อุปทานทำให้ผู้ผลิตชิปไม่สามารถผลิตได้ตามความต้องการ ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายราย เช่น Toyota, Ford และ General Motors ต้องปรับลดกำลังการผลิตในบางโรงงาน

สำหรับ Honda การกลับมาดำเนินงานตามปกติจะช่วย ลดความเสียหายต่อยอดขายในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของบริษัท และทำให้ผู้จัดจำหน่ายสามารถจัดส่งรถยนต์ให้กับลูกค้าได้ตามปกติ นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาชิปครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของ Honda ในการปรับตัวต่อความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยการหาส่วนประกอบทางเลือกและจัดลำดับความสำคัญของการผลิต

นักวิเคราะห์ระบุว่าแม้ปัญหาชิปเริ่มคลี่คลาย แต่ตลาดรถยนต์โลกยังคงต้องเผชิญกับ ความผันผวนของอุปทานชิป จากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันของผู้ผลิตชิปในตลาดโลก

การกลับมาผลิตของ Honda เป็นสัญญาณเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาด ลดแรงกดดันด้านราคา และทำให้ผู้บริโภคได้รับรถยนต์ตามกำหนด

ทั้งนี้ Honda ยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับแผนการผลิตหากซัพพลายชิปมีความล่าช้าเพิ่มเติม การฟื้นตัวครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างของ ความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่เทคโนโลยียานยนต์และความต้องการระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์เติบโตอย่างรวดเร็ว