วันที่ 1 กันยายน 2568 หุ้นของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ร่วงลงแรงถึง 7.87% หลังบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาสสองที่น่าผิดหวัง โดยมีกำไรสุทธิ 6.36 พันล้านหยวน (ราว 2.8 หมื่นล้านบาท) ลดลงมากถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่ารายได้รวมจะยังเติบโต 14% แตะ 2.01 แสนล้านหยวน จากแรงหนุนของยอดขายในต่างประเทศก็ตาม

บริษัทระบุชัดว่า สงครามราคาที่รุนแรง ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจีน รวมถึงการทุ่มงบการตลาดอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นตัวถ่วงการเติบโตและกระทบต่อผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

แรงกดดันจากสงครามราคา EV

ข้อมูลจาก โนมูระ (Nomura) อ้างอิง Autohome Research Institute เปิดเผยว่า ราคาขายปลีกเฉลี่ยของรถยนต์ในจีนลดลงถึง 19% ภายในสองปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 165,000 หยวน (ประมาณ 736,000 บาท) ซึ่งสะท้อนให้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดและทำให้ผู้ผลิตหลายรายเผชิญแรงกดดันด้านมาร์จิ้น

แม้ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง แต่การแข่งขันที่ไม่หยุดยั้งอาจส่งผลให้หลายค่ายต้องปรับกลยุทธ์อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งขยายตลาดต่างประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือแม้แต่การจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อลดต้นทุน

ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและนักลงทุนต่างชาติ

การร่วงลงของหุ้น BYD ไม่เพียงกระทบต่อบริษัทเดียว แต่ยังส่งสัญญาณสะเทือนต่อบรรยากาศการลงทุนใน ตลาดหุ้นฮ่องกง และ อุตสาหกรรมยานยนต์จีน โดยรวม นักลงทุนต่างชาติซึ่งเคยมองจีนเป็นฐานการผลิตและตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่า สงครามราคานี้จะลากยาวไปอีกนานแค่ไหน และจะทำให้การลงทุนในหุ้น EV ของจีนยังคงน่าสนใจหรือไม่

บางรายเริ่มตั้งคำถามว่า หากบริษัทใหญ่อย่าง BYD ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำและยอดขายต่างประเทศขยายตัว ยังถูกกดดันจนกำไรลดลงหนักเช่นนี้ ผู้เล่นรายเล็กจะสามารถยืนหยัดอยู่รอดได้หรือไม่ ความไม่แน่นอนนี้อาจทำให้นักลงทุนเลือกชะลอการลงทุน หรือหันไปถือหุ้นในค่ายต่างชาติที่มีความเสถียรมากกว่า

มองไปข้างหน้า

แม้ BYD ยังมีความได้เปรียบด้านปริมาณการผลิตและการกระจายตลาดไปต่างประเทศ แต่ผลประกอบการไตรมาสนี้ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ว่าอุตสาหกรรม EV จีนกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย หากไม่สามารถสร้างความแตกต่างนอกเหนือจากการตัดราคา ตลาด EV จีนอาจเผชิญปัญหาด้านความยั่งยืนในระยะยาว

ที่มา : bangkokbiznews