สถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ที่กำลังแพร่ระบาดหนักในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังเริ่มส่งผลกระทบต่อหลายมิติของสังคมไทย ทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจครัวเรือน และการบริหารจัดการในท้องถิ่น

จากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงต้นเดือนสิงหาคม มีผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปากมากกว่า 48,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 65% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ต้องไปสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล

การแพร่ระบาดในวงกว้างทำให้หลายโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะภาคใต้ กรุงเทพฯ และภาคกลาง ต้องพิจารณามาตรการพิเศษ เช่น การปิดห้องเรียนชั่วคราว การปรับระบบเรียนออนไลน์สำหรับเด็กเล็ก และการเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองที่ต้องลางานเพื่อดูแลบุตรหลาน ขณะเดียวกัน สถานรับเลี้ยงเด็กหลายแห่งจำเป็นต้องลงทุนด้านสุขอนามัยเพิ่มขึ้น ทั้งการจัดหาอุปกรณ์ทำความสะอาด การตรวจเช็กสุขภาพเด็กทุกวัน และการอบรมเจ้าหน้าที่ดูแลเด็ก

ในเชิงเศรษฐกิจ ครอบครัวที่มีบุตรหลานป่วยต้องเผชิญค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล แม้อาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่การไปพบแพทย์และการดูแลต่อเนื่องก็เป็นภาระไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหานี้จึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องสุขภาพ แต่ยังกลายเป็นแรงกดดันต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

ในมุมมองเชิงนโยบาย นักวิชาการด้านสาธารณสุขบางรายชี้ว่า การจัดการโรคติดต่อในเด็กเล็กจำเป็นต้องมีแผนบูรณาการที่ยาวนานกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบอนามัยโรงเรียน การเพิ่มบุคลากรพยาบาลประจำศูนย์เด็กเล็ก หรือการสร้างคู่มือมาตรฐานสำหรับการป้องกันโรคติดต่อในสถานศึกษา หากสามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบได้จริง จะช่วยลดผลกระทบเชิงโครงสร้างที่เกิดซ้ำทุกปี

ดังนั้น ภาพรวมของสถานการณ์โรคมือ เท้า ปากในปีนี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า “โรคเด็กเล็ก” ไม่ใช่เรื่องเล็กเฉพาะวงการแพทย์อีกต่อไป แต่เชื่อมโยงถึงคุณภาพชีวิตของครอบครัว ระบบการศึกษา และนโยบายสาธารณะในระยะยาว ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องมองในมิติที่กว้างกว่าเพียงการควบคุมโรค