อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนที่เคยถูกยกย่องว่าเป็น “ความสำเร็จแห่งศตวรรษ” กำลังเผชิญวิกฤตที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป หลังจากหลายปีที่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นต่างทุ่มนโยบายอุดหนุน มอบที่ดินราคาถูก รวมถึงตั้งเป้าผลิตเชิงปริมาณอย่างเร่งรัดเพื่อผลักดันให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจยานยนต์โลก ทั้งในตลาดรถยนต์เชื้อเพลิงทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สิ่งที่ได้กลับกลายเป็น “กำลังการผลิตล้นตลาด” ซึ่งกำลังฉุดทั้งผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายเข้าสู่วงจรแข่งขันแบบไร้กำไร
ในเมืองใหญ่อย่างเฉิงตู ผู้บริโภคสามารถเดินเข้าโชว์รูมกลางห้างและพบข้อเสนอที่แทบไม่เชื่อสายตา รถออดี้รุ่นประกอบในประเทศลดราคาลงกว่าครึ่ง เอสยูวีเจ็ดที่นั่งจากค่าย FAW ลดลงมากกว่า 60% บริษัทตัวกลางอย่าง Zcar ใช้ช่องทางรับรถล็อตใหญ่จากโรงงานและดีลเลอร์มาขายต่อ แม้จะต้องขาดทุนก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้รถกองค้างอยู่เต็มลานเพราะไม่มีผู้ซื้อ เรื่องนี้สะท้อนภาพรวมว่าประเทศจีนมีรถยนต์มากเกินกว่าที่ตลาดภายในจะดูดซับได้ และเมื่อผู้ผลิตจำเป็นต้องเร่งขายเพื่อให้เงินสดหมุน การหั่นราคากลายเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้ตลาดเข้าสู่สงครามราคาที่ยืดเยื้อ
ตัวเลขล่าสุดจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์จีนระบุว่า กำลังการผลิตรวมของโรงงานในประเทศสูงเกือบสองเท่าของยอดผลิตจริงในปี 2024 ที่ประมาณ 27.5 ล้านคัน ยิ่งไปกว่านั้น ดีมานด์สำหรับรถยนต์เชื้อเพลิงกำลังหดตัวอย่างรุนแรง ขณะที่โรงงาน EV ก็เกิดขึ้นราวกับดอกเห็ดเพราะท้องถิ่นแข่งกันดึงดูดการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งผลิตโดยไม่มองความต้องการแท้จริงของผู้บริโภค ส่งผลให้โรงงานหลายแห่งต้องผลิตแม้จะรู้ว่าจะขาดทุน เพราะถ้าไม่ผลิตก็จะไม่เข้าเงื่อนไขรับเงินอุดหนุนและโบนัสจากรัฐบาล
ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ผลิตเท่านั้น ดีลเลอร์เองก็ติดอยู่ในกับดักเช่นกัน หลายแห่งต้องรับรถเกินกว่าที่จะขายออก และเพื่อรักษาโบนัสหรือส่วนลดจากโรงงาน จึงยอมขายรถขาดทุนในช่วงสิ้นเดือนหรือสิ้นไตรมาส บางรายถึงขั้นจดทะเบียนและทำประกันรถที่ยังไม่ถูกขายจริง เพื่อให้ถูกบันทึกเป็นยอดขายในระบบ แล้วค่อยนำไประบายต่อผ่านตลาดเทา ซึ่งมักถูกส่งออกในฐานะ “รถมือสองศูนย์กิโลเมตร” ไปต่างประเทศ หรือบางครั้งถูกขายออนไลน์ผ่านไลฟ์สดในแพลตฟอร์มอย่าง Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน) ภาพของอินฟลูเอนเซอร์ยืนบนดาดฟ้าที่เต็มไปด้วยรถใหม่ป้ายแดง พร้อมเสนอขายแบบตัดราคา กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดในยุคนี้
บรรดานักวิเคราะห์เปรียบเทียบว่านี่คือ “วงจรอุบาทว์” ที่ผู้ผลิตและรัฐบาลท้องถิ่นต่างป้อนเชื้อให้กันและกัน ยิ่งผลิตมาก ยิ่งต้องลดราคา ยิ่งทำกำไรยาก แต่ก็ยังต้องผลิตต่อเพื่อให้มีเงินสดหมุนหรือรักษาตัวเลขเศรษฐกิจ ขณะที่ผู้ค้ารถก็แบกรับภาระสต็อกมหาศาลและต้องหาทางผลักสินค้าออกทุกวิถีทาง ปัจจุบันมีเพียงราว 30% ของดีลเลอร์ที่ยังทำกำไรได้จริง ส่วนที่เหลือกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการอยู่รอดกับการล้มละลาย
แม้แต่ค่ายใหญ่ที่เคยเป็น “ดาวรุ่ง” อย่าง BYD ก็ไม่พ้นแรงกดดัน ล่าสุดกำไรไตรมาส 2 ปี 2025 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปีครึ่ง ทำให้บริษัทต้องปรับลดเป้ายอดขายลงจากเดิม ขณะที่รัฐบาลกลางเริ่มแสดงท่าทีไม่สบายใจกับสงครามราคาที่รุนแรงเกินไป ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ถึงกับตำหนิผู้ว่าฯ ท้องถิ่นว่ากำลังแข่งขันกันดึงลงทุนในเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ด้านจนเกินสมดุล อย่าง EV และ AI
ต่างชาติเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์นอกประเทศในจีนลดจาก 62% ในปี 2020 เหลือเพียง 31% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ยุโรปกังวลว่ารถจีนราคาถูกจะท่วมตลาดจนผู้ผลิตภายในประเทศไม่อาจแข่งขันได้ สหรัฐก็แทบปิดประตูนำเข้ารถจีนทั้งหมดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หากจีนเร่งระบายสต็อกออกนอกประเทศมากขึ้น ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลกอาจรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การปรับสมดุลครั้งนี้อาจกินเวลาหลายปี เพราะรัฐบาลท้องถิ่นยังลังเลที่จะปล่อยให้ผู้ผลิตล้มหายไปจำนวนมาก เนื่องจากเกรงผลกระทบต่อการจ้างงานและการบริโภคในประเทศ แต่หากยังยื้อไว้ ระบบก็จะอยู่ในภาวะ “ปั่นจักรยานต่อไปแม้จะเหนื่อยล้า” ซึ่งสุดท้ายก็อาจนำไปสู่การคัดตัวครั้งใหญ่ที่เหลือรอดเพียงไม่กี่ผู้เล่นหลักภายในปี 2030
ที่มา : reuters