รัฐบาลจีนประกาศถอด “รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV)” ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ปลั๊กอินไฮบริด และรถเซลล์เชื้อเพลิง ออกจากรายชื่ออุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีที่อุตสาหกรรม EV ไม่ถูกบรรจุอยู่ในแผนหลักของประเทศ หลังรัฐบาลได้อัดฉีดงบสนับสนุนจำนวนมหาศาลตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จนทำให้จีนกลายเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นักวิเคราะห์มองว่าการเปลี่ยนทิศทางนี้ไม่ใช่เพราะรัฐบาลหมดความสนใจในอุตสาหกรรม EV แต่เป็นสัญญาณว่ารัฐมองว่า “อุตสาหกรรมเติบโตเต็มที่แล้ว” และถึงเวลาที่ตลาดควรเป็นตัวกำหนดทิศทางมากกว่าการอุ้มด้วยนโยบาย ดร. Dan Wang จาก Eurasia Group ระบุว่า “นี่คือการยอมรับอย่างเป็นทางการว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องได้รับการอุดหนุนอีกต่อไป จีนครองเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานได้แล้ว ตลาดจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะอยู่รอด”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จีนได้เทงบประมาณหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมทั้งการผลิตและการบริโภค EV ส่งผลให้จีนกลายเป็นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 ยอดขายรถพลังงานใหม่ในจีนคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถทั้งหมด — เร็วกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ถึง 10 ปี อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหา “ผลิตล้นตลาด” อย่างหนัก ปัจจุบันมีผู้ผลิตถึง 169 ราย แต่กว่า 90 รายมีส่วนแบ่งตลาดต่ำกว่า 0.1%
ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน China Institute for WTO Studies เตือนว่า “ถ้ายังสนับสนุนต่อไปอาจยิ่งเพิ่มกำลังการผลิตส่วนเกิน” และคาดว่าจีนจะออกแผนเฉพาะกิจในระดับกระทรวงเพื่อควบคุมทิศทางการพัฒนาแทนการอุดหนุนโดยตรง ทั้งนี้ จีนได้ยุติโครงการเงินอุดหนุนการซื้อรถ EV ตั้งแต่ปลายปี 2565 และจะทยอยยกเลิกมาตรการลดภาษีซื้อภายในปี 2570
แหล่งข่าวในรัฐบาลยืนยันว่า การถอดออกจากแผนยุทธศาสตร์ไม่ได้หมายถึงการลดความสำคัญของ EV แต่เป็นการผลักให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันกันด้วยนวัตกรรมและคุณภาพ แทนการพึ่งพานโยบายรัฐ ผู้บริหารสมาคมรถยนต์โดยสารจีน (CPCA) กล่าวว่า “รัฐบาลจะใช้มาตรการเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตเน้นเทคโนโลยีและลดการผลิตรถคุณภาพต่ำ”
ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น BYD และ Leapmotor ยังคงเสริมจุดแข็งด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน ส่วน Xiaomi และแบรนด์ HIMA (Huawei Intelligent Mobility Alliance) เน้นสร้างความแตกต่างด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและภาพลักษณ์แบรนด์
การยุติการอุดหนุนครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของจีน จากยุคที่รัฐเป็นผู้ขับเคลื่อนสู่ยุคที่ “ตลาด” จะเป็นผู้กำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจีนในระยะยาว