บริษัทพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของอังกฤษ Octopus Energy ประกาศแผนแตกไลน์ธุรกิจ โดยจะนำ Kraken แพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคออกมาเป็นบริษัทแยก หลังได้รับแรงหนุนจากรายได้ประจำกว่า 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี ที่ได้จากการทำสัญญากับผู้ให้บริการพลังงานรายอื่นๆ
ตามรายงานของ The Wall Street Journal การ IPO ของ Kraken อาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปีข้างหน้า และมีมูลค่าประเมินสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จาก “เดโมคลายเอนต์” สู่ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน
Greg Jackson ซีอีโอของ Octopus เปิดเผยว่า จริงๆ แล้ว Kraken คือผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมที่บริษัทสร้างขึ้น โดย Octopus ถูกตั้งขึ้นมาในฐานะ “ลูกค้าทดลอง” เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Octopus เติบโตจนกลายเป็นผู้ให้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ให้บริการแก่กว่า 7.7 ล้านครัวเรือนใน UK และอีก 2.8 ล้านครัวเรือนทั่วโลก
ลดความขัดแย้งทางธุรกิจ
การแยก Kraken ออกมาเป็นบริษัทอิสระ มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจาก Kraken กำลังเซ็นสัญญากับผู้ให้บริการพลังงานหลายรายที่ไม่ใช่ Octopus เอง โดยจริงๆ แล้วกระบวนการแยกตัวได้เริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
เส้นทางการเติบโต
Octopus ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 และสามารถแซง British Gas บริษัทเก่าแก่กว่า 200 ปี ขึ้นเป็นผู้ให้บริการพลังงานรายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักรในเวลาไม่ถึงทศวรรษ กลยุทธ์การตลาดเชิงสร้างสรรค์มีส่วนสำคัญ เช่น
Zero Bills: โครงการที่ช่วยให้เจ้าของบ้านไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้านาน 10 ปี หากเลือกซื้อบ้านที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100%
Agile Tariff: แพ็กเกจที่กระตุ้นให้ลูกค้าใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีพลังงานเหลือในระบบ ซึ่งบางครั้งสามารถซักผ้าหรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าได้ฟรี
Kraken กับอนาคตของพลังงานสะอาด
Kraken ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มจัดการลูกค้า (Billing, Metering, CRM) แต่ยังใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากโครงการพลังงานหมุนเวียน เพื่อปรับสมดุลพลังงานในกริด และช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถดึงพลังงานจากแหล่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ลม หรือทรัพยากรพลังงานกระจายตัว (Distributed Energy Resources) อย่างเครื่องชาร์จ EV เทอร์โมสแตทอัจฉริยะ และแบตเตอรี่ภายในบ้าน
การแตกไลน์ครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการปูทางให้ Kraken กลายเป็น ผู้นำด้านเทคโนโลยีโครงข่ายพลังงานระดับโลก และหากการ IPO สำเร็จตามแผน จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดในทศวรรษหน้า
ที่มา : techcrunch