ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นถัดไปของ Samsung อย่าง Galaxy S26 Ultra โดยหนึ่งในประเด็นที่ผู้ใช้งานจำนวนมากเฝ้ารอคอยคือ “แบตเตอรี่” ว่าจะมีการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า Galaxy S25 Ultra หรือไม่ เนื่องจากการใช้งานในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการเล่นเกม การถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง และการทำงานร่วมกับ AI ต้องการพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม แต่ล่าสุดข้อมูลที่หลุดจาก China Quality Certification Center (CQC) ได้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่า Galaxy S26 Ultra ยังคงใช้แบตเตอรี่ความจุจริง 4,855 mAh ซึ่งเมื่อแปลงเป็นค่าทั่วไปก็ยังคงอยู่ที่ 5,000 mAh เท่ากับรุ่นก่อนหน้าโดยไม่มีการเพิ่มแต่อย่างใด

การเปิดเผยครั้งนี้ทำให้ความหวังที่หลายฝ่ายคาดว่า Samsung อาจขยับไปที่ 5,500 mAh ต้องพังทลายลง เนื่องจากผู้ผลิตยังเลือกที่จะคงความจุเดิมเอาไว้ ขณะที่คู่แข่งจากจีนอย่าง Xiaomi, HONOR, vivo และ realme ต่างกำลังเร่งพัฒนาแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่แตะระดับ 6,500 – 7,000 mAh กันแล้ว จุดนี้ทำให้ Samsung อาจเสียเปรียบในสายตาผู้บริโภคที่ต้องการมือถือ “อึดใช้นาน” โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่การใช้งานหนักต่อเนื่องถือเป็นเรื่องปกติ

สาเหตุสำคัญที่ Samsung เลือกจะไม่เพิ่มความจุแบตเตอรี่นั้น นักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นเพราะบริษัทให้ความสำคัญกับ การออกแบบตัวเครื่องที่บางเบาและสมดุล มากกว่า หากเพิ่มแบตเตอรี่เข้าไป อาจทำให้เครื่องหนาหนักขึ้น และกินพื้นที่ภายในที่ควรถูกใช้ไปกับโมดูลกล้อง ซึ่งมีข่าวลือว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการถ่ายภาพคุณภาพสูงในที่แสงน้อย อีกทั้ง Samsung เองก็ยังไม่ขยับไปใช้เทคโนโลยี Silicon-Carbon (Si/C) battery ที่หลายค่ายจีนเริ่มนำมาใช้ เพื่อเพิ่มความหนาแน่นพลังงานโดยไม่ทำให้แบตใหญ่กว่าเดิม ซึ่งการตัดสินใจนี้อาจสะท้อนความระมัดระวังของ Samsung ที่ยังคงไม่เสี่ยง หลังเคยเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่กับเหตุการณ์ Galaxy Note 7 ในอดีต

แม้ความจุแบตเตอรี่จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผู้ใช้ยังพอมีความหวังคือเรื่อง การชาร์จเร็ว โดยมีข้อมูลจากสายข่าวที่น่าเชื่อถือว่า Galaxy S26 Ultra อาจรองรับการชาร์จที่ความเร็วสูงสุด 65W ซึ่งหากเป็นจริง จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมา Samsung จำกัดการชาร์จเร็วไว้ที่ 45W เท่านั้น การขยับขึ้นมา 65W อาจไม่เร็วเทียบเท่าคู่แข่งที่บางแบรนด์ไปถึง 100W – 150W แล้ว แต่ก็นับเป็นก้าวกระโดดของ Samsung ที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่าง ความปลอดภัยของแบตเตอรี่ และ ความเร็วในการใช้งานจริง

สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ตัวเลขแบตเตอรี่จะไม่ต่างจากเดิม แต่ Samsung อาจเลือกใช้แนวทางอื่นเพื่อชดเชย เช่น การปรับปรุง ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 5 / Exynos รุ่นใหม่ ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น, การใช้ ซอฟต์แวร์ AI เข้ามาช่วยจัดการพลังงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จให้ผู้ใช้สามารถเติมพลังได้รวดเร็วขึ้นแม้แบตเตอรี่ไม่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนกลยุทธ์ของ Samsung ที่มุ่งเน้นไปที่ “ประสบการณ์ใช้งานจริง” มากกว่าตัวเลขบนกระดาษ

ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกไม่เพิ่มความจุแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy S26 Ultra อาจเป็นดาบสองคม เพราะในขณะที่ผู้ใช้บางกลุ่มมองว่า 5,000 mAh ก็เพียงพอแล้วเมื่อมีระบบจัดการพลังงานที่ดี แต่อีกกลุ่มกลับมองว่า Samsung กำลัง “ตามหลัง” คู่แข่งจีนที่กล้าลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานและลดความกังวลเรื่องแบตหมดกลางวัน อย่างไรก็ตาม ด้วยชื่อเสียงของ Samsung ในด้าน ความเสถียร, คุณภาพการผลิต, กล้องระดับโปร, และซอฟต์แวร์ที่ยาวนาน ทำให้ Galaxy S26 Ultra ยังคงเป็นสมาร์ตโฟนที่ผู้บริโภคทั่วโลกจับตามอง และอาจจะสร้างความแตกต่างในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวเลขแบตเตอรี่ที่ไม่เปลี่ยนไป