ซัมซุงกำลังเตรียมเปิดตัว Galaxy F17 ซึ่งตามข้อมูลที่หลุดออกมาพบว่าสเปกแทบจะไม่แตกต่างจาก Galaxy A17 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้เลย ทั้งหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรต 90Hz ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass Victus รวมถึงชิปประมวลผล Exynos 1330 กล้องหลัง 3 ตัวประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP ที่มีระบบกันสั่น OIS เสริมด้วยกล้อง Ultrawide 5MP และ Macro 2MP ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 13MP เช่นเดียวกับรุ่น A17 แบตเตอรี่ยังคงขนาด 5,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W แต่ไม่มีอะแดปเตอร์มาให้ในกล่อง และซอฟต์แวร์ก็ใช้ Android 15 ครอบด้วย One UI 7 ซึ่งซัมซุงให้คำมั่นว่าจะได้อัปเดต Android ต่อเนื่องถึง 6 เวอร์ชัน จุดต่างเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ชื่อรุ่นและช่องทางการจัดจำหน่ายเท่านั้น

หากมองเผิน ๆ หลายคนอาจตั้งคำถามว่าการทำ Galaxy F17 ออกมาในเมื่อสเปกเหมือน Galaxy A17 เกือบทั้งหมดนั้นมีเหตุผลอะไร แต่ความจริงแล้วนี่คือหนึ่งใน กลยุทธ์การตลาดที่ซัมซุงใช้มาอย่างยาวนาน โดยการแบ่งซีรีส์สมาร์ตโฟนออกเป็น A, M และ F แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ใกล้เคียงกัน แต่ซัมซุงสามารถวางตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน Galaxy A Series จะเป็นรุ่นที่เจาะตลาดกว้าง วางขายผ่านร้านค้าปลีกและผู้ให้บริการเครือข่าย ส่วน Galaxy F Series จะถูกวางไว้สำหรับตลาดออนไลน์หรือพาร์ทเนอร์เฉพาะ เช่น อินเดียที่เน้นขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Flipkart ขณะที่ Galaxy M Series ก็ถูกใช้เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการมือถือราคาคุ้มค่าและแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นหลัก

การแยกซีรีส์แบบนี้ยังช่วยให้ซัมซุงมีความยืดหยุ่นในการตั้งราคาและทำโปรโมชั่นได้ต่างกัน Galaxy F17 ที่หลุดราคามาในอินเดีย รุ่น RAM 4GB + ROM 128GB อยู่ที่ 14,499 รูปี (ประมาณ 6,400 บาท) และรุ่น RAM 6GB อยู่ที่ 15,999 รูปี (ประมาณ 7,100 บาท) ถือว่าใกล้เคียงกับ Galaxy A17 มาก แต่บางครั้งการที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะก็ทำให้ซัมซุงสามารถลดราคาแข่งได้มากกว่าหรือแถมสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่วนลดจากพาร์ทเนอร์ หรือสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก ซึ่งสร้างความแตกต่างในเชิงจิตวิทยาและดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อที่เน้นความคุ้มค่า

นอกจากประโยชน์ด้านการตลาดแล้ว การที่ซัมซุงทำให้หลายรุ่นใช้ฮาร์ดแวร์เดียวกันยังส่งผลดีต่อกระบวนการผลิตและซัพพลายเชน เพราะช่วยให้สามารถใช้ชิ้นส่วนร่วมกัน ลดต้นทุนในการออกแบบและการผลิต ขณะเดียวกันก็สามารถกระจายสินค้าไปยังหลายตลาดได้โดยไม่ต้องพัฒนารุ่นใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังช่วยในการจัดการสต็อก หากตลาดใดตลาดหนึ่งขายได้ไม่ดี ก็ยังสามารถผลักดันไปขายในชื่อรุ่นอื่นได้โดยไม่เสียทรัพยากรมากนัก

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือซัมซุงประกาศว่าจะให้การอัปเดตซอฟต์แวร์กับ Galaxy F17 ถึง 6 เวอร์ชัน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูแลมือถือในกลุ่มราคาประหยัด ทำให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะไม่ตกรุ่นเร็วเหมือนมือถือราคาถูกจากค่ายอื่น นี่เองจึงเป็นการสร้างความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ที่สเปก แต่เป็นเรื่องของประสบการณ์การใช้งานระยะยาว

ดังนั้นแม้ว่า Galaxy F17 จะถูกมองว่าเป็นการรีแบรนด์ของ Galaxy A17 แต่ในมุมกลยุทธ์แล้วนี่คือการเดินเกมที่ชาญฉลาด ซัมซุงสามารถใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดียวกันเจาะตลาดที่หลากหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ผู้ให้บริการเครือข่าย หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งสร้างภาพจำให้กับผู้ใช้แต่ละกลุ่มว่าได้มือถือที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi, Realme หรือ Motorola ที่มักจะเน้นขายออนไลน์ด้วยสเปกแรงราคาเร้าใจ การมี Galaxy F17 ที่สเปกเทียบเท่า A17 แต่เจาะตลาดออนไลน์โดยตรง จึงเป็นการปิดช่องว่างและทำให้ซัมซุงครองส่วนแบ่งในทุกมิติของตลาดสมาร์ตโฟนราคาประหยัดอย่างมีประสิทธิภาพ